ในปัจจุบันมีการใช้คำว่า “กลยุทธ์” (Strategy) มากมายทั้งในวงการเมือง วงการทหาร(การรบ) วงการธุรกิจ เรียกได้ว่าเป็นศัพท์ของผู้บริหารระดับสูง เนื่องจากเป็นคำที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยได้ใช้กัน ผมจึงไปลองค้นความหมายดู
ความหมายของคำว่า “กลยุทธ์” ในพจนานุกรมราชบัณฑิยสถาน คือ การรบที่มีเล่ห์เหลี่ยม, วิธีการที่ต้องใช้กลอุบายต่างๆ, เล่ห์เหลี่ยมในการต่อสู้ (หรือจะใช้คำว่า “ยุทธศาสตร์” แทนคำว่ากลยุทธ์ก็ได้ครับความหมายเดียวกัน) ฟังความหมายตามพจนานุกรมอาจจะยังงงๆกัน ...ดังนั้นผมจะพูดตามที่ผมเข้าใจดีกว่า
และยังมีอีกคำนึงที่มักจะสับสนกัน คือ “ยุทธวิธี” (Tactics) หมายถึง วิธีการในระดับรายละเอียด เพื่อนำมาใช้ดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ (กลยุทธ์จะบอกวิธีการไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ในภาพรวม)
ซึ่งทั้ง Strategy และ Tactics เป็นคำที่มักจะใช้คู่กัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่เราวางเอาไว้
ผมไม่ใช่นักบริหารระดับสูงแต่อย่างใด แต่ผมคุ้นเคยกับคำว่า “กลยุทธ์” และการใช้กลยุทธ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากตอนเด็กๆผมชอบอ่านสามก๊กและตำราพิชัยสงครามของซุนวู รวมถึงชอบเล่นหมากกระดานที่ต้องใช้การคิดและวางแผน โดยความหมายของกลยุทธ์สำหรับผมคือ...การใช้วิธีการต่างๆเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ นั่นคือ เราต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายของเราคืออะไร? และเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร?
แล้วกลยุทธ์มีความสำคัญอย่างไรกับการลงทุน?
นักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นมีเป้าหมายเพื่อต้องการกำไร ต้องการเป็นอิสระภาพทางการเงิน โดยมากนักลงทุนที่เข้ามาใหม่ๆมักจะคิดว่า การมีหุ้นเด็ดคือคำตอบของทุกอย่าง เหมือนแทงหวยก็ต้องมีเลขเด็ด แต่ความจริงแล้วนักลงทุนระดับเซียนนั้น การซื้อหุ้นถูกตัวเพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการลงทุนด้วย
พูดไปอาจจะยังไม่เชื่อ...งั้นหาลองดูว่า มีนักลงทุนรายย่อยมากมายแค่ไหนที่ซื้อตามเซียนแล้วขาดทุน ซื้อต้นทุนเท่าเซียนแล้วยังกำไรน้อยกว่าหรือขาดทุน เพราะการที่นักลงทุนรายย่อยเหล่านี้ขาดกลยุทธ์ในการลงทุน
ผมถึงได้พยายามที่จะถ่ายทอดเรื่องของกลยุทธ์ออกมา การเรียนรู้เรื่องกลยุทธ์ผมคงอดไม่ได้ที่จะพูดถึงหมากกระดาน...และหมากกระดานที่ผมคิดว่าใช้ในการฝึกการคิดเชิงกลยุทธ์ได้อย่างดีเยี่ยมคือ หมากรุก และหมากล้อม(โกะ)
▼
วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554
พฤติกรรมมนุษย์และตลาดทุน (ตอนพิเศษ) ยอมรับความจริง
ตลาดหุ้นเป็นแหล่งรวมรวมแนวคิดด้านการลงทุนไว้มากมาย นักลงทุนที่ใช้แนวทางใดก็จะมีความเชื่อมั่นต่อแนวคิดของตนเอง ซึ่งอาจจะมาจากการค้นคว้าด้วยตนเองหรือศึกษาจากอาจารย์ เมื่อลงทุนแล้วประสบความสำเร็จระดับนึงจะเกิด ”อัตตา” ความเชื่อมั่นว่าตนเองเก่ง แนวทางที่ตนใช้ถูกต้อง แนวคิดคนอื่นผิดพลาด
เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนที่มองไปยังอนาคต จึงไม่อาจจะทำนายได้แน่นอน เปรียบเสมือนการดูหมอ ช่องว่างแห่งความไม่รู้อนาคตได้ก่อเกิดแนวคิดที่หลากหลาย
เวลาที่ได้กำไรก็ดีใจกันไป แนวทางของฉันถูกต้องที่สุด แต่ถ้าเริ่มขาดทุนหรือติดตัวแดง ก็จะเกิดความคิดที่มาปกป้องความเชื่อของตนเอง ที่เรียกว่า กลไกป้องกันทางจิต (Defense mechanism)
(ผมจะไม่ลงลึกเรื่อง Ego นะครับ เดี๋ยวจะยาว เพราะต้องอธิบายโครงสร้างของจิตใจด้วย จะพูดถึงแต่กลไกป้องกันทางจิตซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานของ Ego ในระดับจิตใต้สำนึก)
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้นเช่น หุ้นตกหนัก พอร์ตติดลบ หุ้นขึ้นแต่ไม่ได้ซื้อ(ตกรถ) จิตใจจะเกิดความวิตกกังวลขึ้น (Signal anxiety) เพื่อเตือนให้รู้ว่าจิตใจกำลังได้รับอันตราย กลไกแรกที่จิตใจนำมาใช้คือ การเก็บกด (repression) โดยกระบวนการนี้เกิดในระดับจิตให้สำนึกด้วยความรวดเร็วมาก (Unconscious level) แต่เมื่อใดที่ระดับความกังวลมีมากจนการเก็บกดเริ่มไม่ได้ผล ความกลัวและความกังวลจะเริ่มขึ้นสู่การรับรู้ของจิตใจในส่วนของจิตสำนึก (Conscious level)
แล้วกลไกป้องกันทางจิตอื่นๆจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการปกป้องจิตใจจากความกังวล
เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนที่มองไปยังอนาคต จึงไม่อาจจะทำนายได้แน่นอน เปรียบเสมือนการดูหมอ ช่องว่างแห่งความไม่รู้อนาคตได้ก่อเกิดแนวคิดที่หลากหลาย
เวลาที่ได้กำไรก็ดีใจกันไป แนวทางของฉันถูกต้องที่สุด แต่ถ้าเริ่มขาดทุนหรือติดตัวแดง ก็จะเกิดความคิดที่มาปกป้องความเชื่อของตนเอง ที่เรียกว่า กลไกป้องกันทางจิต (Defense mechanism)
(ผมจะไม่ลงลึกเรื่อง Ego นะครับ เดี๋ยวจะยาว เพราะต้องอธิบายโครงสร้างของจิตใจด้วย จะพูดถึงแต่กลไกป้องกันทางจิตซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานของ Ego ในระดับจิตใต้สำนึก)
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้นเช่น หุ้นตกหนัก พอร์ตติดลบ หุ้นขึ้นแต่ไม่ได้ซื้อ(ตกรถ) จิตใจจะเกิดความวิตกกังวลขึ้น (Signal anxiety) เพื่อเตือนให้รู้ว่าจิตใจกำลังได้รับอันตราย กลไกแรกที่จิตใจนำมาใช้คือ การเก็บกด (repression) โดยกระบวนการนี้เกิดในระดับจิตให้สำนึกด้วยความรวดเร็วมาก (Unconscious level) แต่เมื่อใดที่ระดับความกังวลมีมากจนการเก็บกดเริ่มไม่ได้ผล ความกลัวและความกังวลจะเริ่มขึ้นสู่การรับรู้ของจิตใจในส่วนของจิตสำนึก (Conscious level)
แล้วกลไกป้องกันทางจิตอื่นๆจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการปกป้องจิตใจจากความกังวล
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554
สิ่งที่ควรรู้ในการเลือกซื้อคอนโด
(ขอนำบทความเก่าๆก่อนผมซื้อคอนโดมาลงนะครับ)
พอดีช่วงนี้ผมสนใจเรื่องคอนโดเลยเอาความรู้มาแบ่งปันกันครับ... (เหมาะสำหรับคนที่มีแผนจะซื้อคอนโดอยู่เองหรือซื้อใว้ลงทุนขายต่อหรือให้เช่าครับ)
คอนโดจัดอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลต่อราคาและความต้องการของผู้ซื้อคือ...ทำเล (Location)
ก่อนจองคอนโด
1. ประเมินทำเล ...
- เดินทางสะดวกหรือไม่? ถ้ามีการเดินสะดวกราคาห้องต่อตร.ม.จะแพงกว่า...ถ้ามีรถไฟฟ้าผ่านใกล้ๆจะดีมาก (รวมถึงโครงการถไฟฟ้าในอนาคตด้วย MRT, BRT, Airport link) ถึงจะแพงกว่าแต่ก็น่าซื้อกว่าคอนโดที่เดินทางไปไหนมาไหนไม่สะดวกเพราะราคาไม่ตกมากนักและขายต่อได้ง่ายกว่าอยู่เองก็เดินทางสะดวกสบายใจกว่า... (ถ้าซื้อห้องชุดได้ก่อนรถไฟฟ้าเข้าถึงแล้วพอมีรถไฟฟ้าแล้วราคาห้องจะสูงขึ้นมาก)
- มีศูนย์การค้า ร้านอาหาร ร้านซักรีด ร้านสะดวกซื้อ อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นหรือไม่? ตามวิถีชีวิตคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย ถ้าสถานที่เหล่านี้อยู่ไกลแต่มีรถไฟฟ้าหรือการเดินทางสะดวกก็โอเค... กรณีคนไม่รีดผ้าเองควรจะมีร้านซักรีดในตัวอาคาร... (แต่ถ้าเป็นบริเวณที่มีคนเริ่มอยู่มากๆ เช่น มีคอนโดหลายแห่งอยู่แถวนั้นศูนย์การค้าต่างๆก็มักจะมาเปิดในย่านนั้นๆตามมา)
- อยู่ใกล้สถานศึกษาหรือย่านธุรกิจหรือไม่? ถ้าใกล้สถานศึกษาจะเหมาะในการให้นักเรียนนักศึกษาเช่า...ถ้าใกล้ย่านการค้าที่ต่างชาติทำงานจะเหมาะให้ต่างชาติเช่าเพราะคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่ได้อยู่แถวนี้ถาวรจึงหาเป็นห้องเช่ามากกว่าซื้อขาดไปเลย...
- ทิศทางแสงแดดเป็นอย่างไร? ห้องที่ดีระเบียงควรจะอยู่ด้านทิศตะวันออก...หรือทิศเหนือทิศใต้...แต่ให้ระวังทิศตะวันตกเพราะ...แสงแดงยามบ่ายทั้งบ่ายจะทำให้ห้องอมความร้อนในตอนกลางคืนต้องเปิดแอร์และเปลืองไฟมาก...ตอนเช้าๆแสงแดดที่ส่องทางระเบียงจะช่วยให้เราตื่นได้ด้วย...
- ที่จอดรถในตัวอาคารเพียงพอหรือเปล่า มีที่จอดประจำหรือไม่?? (กรณีเรามีรถยนต์) ไม่อย่างนั้นต้องมาลุ้นแย่งเก้าอี้ดนตรีกันทุกวัน รวมถึงดูเรื่องการเดินทางโดยทางรถส่วนตัวว่าสะดวกหรือไม่? ใกล้ทางด่วนหรือเปล่า? (สำหรับคนที่บ้านอยู่ต่างจังหวัดและคนชอบเที่ยว...)
พอดีช่วงนี้ผมสนใจเรื่องคอนโดเลยเอาความรู้มาแบ่งปันกันครับ... (เหมาะสำหรับคนที่มีแผนจะซื้อคอนโดอยู่เองหรือซื้อใว้ลงทุนขายต่อหรือให้เช่าครับ)
คอนโดจัดอยู่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลต่อราคาและความต้องการของผู้ซื้อคือ...ทำเล (Location)
ก่อนจองคอนโด
1. ประเมินทำเล ...
- เดินทางสะดวกหรือไม่? ถ้ามีการเดินสะดวกราคาห้องต่อตร.ม.จะแพงกว่า...ถ้ามีรถไฟฟ้าผ่านใกล้ๆจะดีมาก (รวมถึงโครงการถไฟฟ้าในอนาคตด้วย MRT, BRT, Airport link) ถึงจะแพงกว่าแต่ก็น่าซื้อกว่าคอนโดที่เดินทางไปไหนมาไหนไม่สะดวกเพราะราคาไม่ตกมากนักและขายต่อได้ง่ายกว่าอยู่เองก็เดินทางสะดวกสบายใจกว่า... (ถ้าซื้อห้องชุดได้ก่อนรถไฟฟ้าเข้าถึงแล้วพอมีรถไฟฟ้าแล้วราคาห้องจะสูงขึ้นมาก)
- มีศูนย์การค้า ร้านอาหาร ร้านซักรีด ร้านสะดวกซื้อ อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นหรือไม่? ตามวิถีชีวิตคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย ถ้าสถานที่เหล่านี้อยู่ไกลแต่มีรถไฟฟ้าหรือการเดินทางสะดวกก็โอเค... กรณีคนไม่รีดผ้าเองควรจะมีร้านซักรีดในตัวอาคาร... (แต่ถ้าเป็นบริเวณที่มีคนเริ่มอยู่มากๆ เช่น มีคอนโดหลายแห่งอยู่แถวนั้นศูนย์การค้าต่างๆก็มักจะมาเปิดในย่านนั้นๆตามมา)
- อยู่ใกล้สถานศึกษาหรือย่านธุรกิจหรือไม่? ถ้าใกล้สถานศึกษาจะเหมาะในการให้นักเรียนนักศึกษาเช่า...ถ้าใกล้ย่านการค้าที่ต่างชาติทำงานจะเหมาะให้ต่างชาติเช่าเพราะคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่ได้อยู่แถวนี้ถาวรจึงหาเป็นห้องเช่ามากกว่าซื้อขาดไปเลย...
- ทิศทางแสงแดดเป็นอย่างไร? ห้องที่ดีระเบียงควรจะอยู่ด้านทิศตะวันออก...หรือทิศเหนือทิศใต้...แต่ให้ระวังทิศตะวันตกเพราะ...แสงแดงยามบ่ายทั้งบ่ายจะทำให้ห้องอมความร้อนในตอนกลางคืนต้องเปิดแอร์และเปลืองไฟมาก...ตอนเช้าๆแสงแดดที่ส่องทางระเบียงจะช่วยให้เราตื่นได้ด้วย...
- ที่จอดรถในตัวอาคารเพียงพอหรือเปล่า มีที่จอดประจำหรือไม่?? (กรณีเรามีรถยนต์) ไม่อย่างนั้นต้องมาลุ้นแย่งเก้าอี้ดนตรีกันทุกวัน รวมถึงดูเรื่องการเดินทางโดยทางรถส่วนตัวว่าสะดวกหรือไม่? ใกล้ทางด่วนหรือเปล่า? (สำหรับคนที่บ้านอยู่ต่างจังหวัดและคนชอบเที่ยว...)
วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554
รับที่เท่าไรดี?
ช่วงที่ตลาดลงหนักจากพี่ฝรั่งขาย ผมมักจะได้คำถามจากมือใหม่ในทำนองนี้ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี ถ้าให้คำตอบบางอย่างไปแล้วคนฟังไปทำตามนั่นก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เช่น ถ้าบอกว่ารอรับที่ 900 ต้นๆ ถ้าหากรับแล้วดัชนีเกิดลงไป 700 – 800 ผู้ที่รับตามผมบอกก็อาจจะขาดทุนได้ หรือถ้าหากดัชนีไปไม่ถึง 900 แล้วเด้งขึ้นมาที่ 1000 กว่าๆก็จะเสียโอกาสในการรับของถูกในช่วงนี้ไปได้
เพราะการคาดการดัชนีเป็นสิ่งที่ยาก ไม่มีใครรู้อนาคต แม้แต่ในทางเทคนิค (ซึ่งผมไม่ใช่เทคนิคอลนะครับ) ยังต้องมีการประเมินแนวโน้มเป็นระยะๆเลยครับ เช่น ถ้าเกิดดัชนีลงไปถึงจุด A แล้วเด้งขึ้นจะมีแนวโน้มลงต่อ ขึ้นหรือซึมยาว เหตุการณ์มีโอกาสเกิดได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการปรับกลวิธีในการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนตามสถาณการณ์มากกว่า
ถ้าอย่างนั้นในช่วงตลาดขาลงอย่างนี้จะทำอย่างไรดี? รับที่เท่าไรดี?
คำแนะนำของผมนะครับ
1. ไม่พยายามทำกำไรโดยคาดเดาดัชนี เพราะเราลงทุนในหุ้นรายตัว แน่นอนว่าตลาดขาลงนั้นหุ้นเกือบทุกตัวลงหมด แต่ลงมากลงน้อยก็แล้วแต่หุ้นแต่ละตัว เซียนหุ้นอย่าง Peter Lynch หรือ Warren Buffet ก็ไม่ได้ทำกำไรจากการออกมาทำนายว่าดัชนีจะไปที่จุดไหน แต่ทำกำไรจากการลงทุนในบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ถ้าหุ้นที่เราจับตาใน watch list ยังไม่ถูกพอเราก็ยังไม่ควรเข้าไปซื้อ ส่วนที่ว่าถูกพอนี่คือแค่ไหน...คงแล้วแต่ MOS – Margin of Safety ของแต่ละคน รวมถึงประเมินกำไรคาดหวังก่อนเข้าซื้อ
ขอให้เน้นมองการลงทุนในหุ้นรายตัวมากกว่าภาพดัชนีโดยรวม (ยกเว้นว่าคุณจะเล่น TFEX)
เพราะการคาดการดัชนีเป็นสิ่งที่ยาก ไม่มีใครรู้อนาคต แม้แต่ในทางเทคนิค (ซึ่งผมไม่ใช่เทคนิคอลนะครับ) ยังต้องมีการประเมินแนวโน้มเป็นระยะๆเลยครับ เช่น ถ้าเกิดดัชนีลงไปถึงจุด A แล้วเด้งขึ้นจะมีแนวโน้มลงต่อ ขึ้นหรือซึมยาว เหตุการณ์มีโอกาสเกิดได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการปรับกลวิธีในการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนตามสถาณการณ์มากกว่า
ถ้าอย่างนั้นในช่วงตลาดขาลงอย่างนี้จะทำอย่างไรดี? รับที่เท่าไรดี?
คำแนะนำของผมนะครับ
1. ไม่พยายามทำกำไรโดยคาดเดาดัชนี เพราะเราลงทุนในหุ้นรายตัว แน่นอนว่าตลาดขาลงนั้นหุ้นเกือบทุกตัวลงหมด แต่ลงมากลงน้อยก็แล้วแต่หุ้นแต่ละตัว เซียนหุ้นอย่าง Peter Lynch หรือ Warren Buffet ก็ไม่ได้ทำกำไรจากการออกมาทำนายว่าดัชนีจะไปที่จุดไหน แต่ทำกำไรจากการลงทุนในบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ถ้าหุ้นที่เราจับตาใน watch list ยังไม่ถูกพอเราก็ยังไม่ควรเข้าไปซื้อ ส่วนที่ว่าถูกพอนี่คือแค่ไหน...คงแล้วแต่ MOS – Margin of Safety ของแต่ละคน รวมถึงประเมินกำไรคาดหวังก่อนเข้าซื้อ
ขอให้เน้นมองการลงทุนในหุ้นรายตัวมากกว่าภาพดัชนีโดยรวม (ยกเว้นว่าคุณจะเล่น TFEX)
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เพดานของการเติบโต
ช่วงนี้ผมจะลงลึกเรื่องการวิเคราะห์หุ้นเติบโตนะครับ (แต่จะพยายามเขียนให้มือใหม่อ่านเข้าใจ)
ในการลงทุนในหุ้นเติบโตนั้น เราจะพิจารณาขายหุ้นเมื่อหุ้นนั้นหยุดเติบโต (กำไรไม่โตแล้ว) เพราะหุ้นเติบโตที่โตเต็มวัยก็จะกลายเป็นหุ้นโตช้าหรือหุ้นปันผลไป การได้ capital gain จากการเพิ่มของตัวกำไรอาจจะเป็นสิ่งที่คาดหวังไม่ได้อีกต่อไป แต่อาจจะมีราคาขึ้นลงตามข่าวหรือตามอารมณ์ตลาด แต่นั่นเป็นเรื่องที่เราๆคนธรรมดายากที่จะคาดเดาได้
โดยปกติถ้าตลาดที่มีประสิทธิภาพจะให้ราคาหุ้นที่ PE ไม่น้อยไปกว่าอัตราการเติบโตในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า เช่น หุ้นที่โตต่อเนื่อง 25 เปอร์เซ็นต์ต่อปีอย่างน้อยอีก 5 ปีก็ควรจะมี PE ไม่ต่ำกว่า 25 ถ้าน้อยกว่า 25 ก็ต้องถือว่าหุ้นราคาถูก ...ซึ่งไม่ใช่ดูการเติบโตย้อนหลังนะครับ เพราะในการลงทุนเราจะดูที่อนาคตของกิจการ งบการเงินในอดีตบอกเพียงการเติบโตในอดีต บอกผลงานที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันความสำเร็จ ไม่ได้รับประกันการเติบโตในอนาคต
ดังนั้นเมื่อบริษัทเติบโตถึงจุดอิ่มตัว การเติบโตจะช้าๆตาม GDP หรือเงินเฟ้อ PE ratio จะถูกปรับใกล้ค่า 10 ซึ่งเป็นอัตราตอบแทนโดยเฉลี่ยของตลาดหุ้น หรือ Earning yield ที่ 10 %นั่นเอง
ในการลงทุนในหุ้นเติบโตนั้น เราจะพิจารณาขายหุ้นเมื่อหุ้นนั้นหยุดเติบโต (กำไรไม่โตแล้ว) เพราะหุ้นเติบโตที่โตเต็มวัยก็จะกลายเป็นหุ้นโตช้าหรือหุ้นปันผลไป การได้ capital gain จากการเพิ่มของตัวกำไรอาจจะเป็นสิ่งที่คาดหวังไม่ได้อีกต่อไป แต่อาจจะมีราคาขึ้นลงตามข่าวหรือตามอารมณ์ตลาด แต่นั่นเป็นเรื่องที่เราๆคนธรรมดายากที่จะคาดเดาได้
โดยปกติถ้าตลาดที่มีประสิทธิภาพจะให้ราคาหุ้นที่ PE ไม่น้อยไปกว่าอัตราการเติบโตในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า เช่น หุ้นที่โตต่อเนื่อง 25 เปอร์เซ็นต์ต่อปีอย่างน้อยอีก 5 ปีก็ควรจะมี PE ไม่ต่ำกว่า 25 ถ้าน้อยกว่า 25 ก็ต้องถือว่าหุ้นราคาถูก ...ซึ่งไม่ใช่ดูการเติบโตย้อนหลังนะครับ เพราะในการลงทุนเราจะดูที่อนาคตของกิจการ งบการเงินในอดีตบอกเพียงการเติบโตในอดีต บอกผลงานที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันความสำเร็จ ไม่ได้รับประกันการเติบโตในอนาคต
ดังนั้นเมื่อบริษัทเติบโตถึงจุดอิ่มตัว การเติบโตจะช้าๆตาม GDP หรือเงินเฟ้อ PE ratio จะถูกปรับใกล้ค่า 10 ซึ่งเป็นอัตราตอบแทนโดยเฉลี่ยของตลาดหุ้น หรือ Earning yield ที่ 10 %นั่นเอง