▼
วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)
ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้เก่งการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ผมเห็นว่าการศึกษาและเข้าใจเรื่องการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต ทั้งในส่วนการวิเคราะห์หุ้นเติบโตที่ต้นทุนการผลิตสินค้าในหลายอุตสาหกรรมต้องใช้สินค้าโภคภัณฑ์ และการลงทุนในหุ้นที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง ผมจึงนำบทวิเคราะห์ภาพรวมของการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทำเอาไว้มาแบ่งปันกัน เป็นกรอบความคิดในการวิเคราะห์การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ของผม
หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์จัดเป็นส่วนหนึ่ง (Subset) ของหุ้นวัฎจักร (Cyclic stock)
หุ้นวัฎจักรเป็นหุ้นที่กำไรขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ เมื่อตลาดเป็นขาขึ้น ความต้องการของผู้บริโภคสูงขึ้นบริษัทจะกำไรอย่างมาก แต่ถ้าตลาดเป็นขาลงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ความต้องการของผู้บริโภคจะลดลงอย่างมากและสวนทางการกับกำลังการผลิตที่ยังสูงต่อเนื่องจากช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรือง เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด (Oversupply) กำไรของบริษัทจะลดลงอย่างมากจนอาจจะถึงขั้นขาดทุนอย่างมาก
ตัวอย่างของหุ้นวัฎจักร เช่น บริษัทรถยนต์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ สินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ (สินค้าฟุ่มเฟือยไม่นับรวม โลหะทอง โลหะเงิน และสินค้าอื่นๆที่มีคุณค่าในเชิงการลงทุนนะครับ) เพราะช่วงคนเรารายได้น้อยจะดูแลเรื่องปากท้อง พยายามประหยัด บ้านที่พออยู่ได้ก็อยู่ไปก่อน รถพอขับได้ก็ขับไปก่อนหรือขึ้นขนส่งมวลชนไป เมื่อเศรษฐกิจเมฟื้นตัว ผู้คนรายได้เพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมา ความต้องการสินค้าที่ถูกกดเก็บไว้หลายปีก็ถูกแสดงออก ยอดขายบ้านขายรถ สินค้าฟุ่มเฟือยเริ่มกลับมา ยอดขายสูงขึ้นมาก รวมถึงคนใช้จ่ายกับการท่องเที่ยว สันทนาการต่างๆเพิ่มขึ้น
การลงทุนหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจจนเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว หุ้นวัฎจักรจึงเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูงมาก
เอาล่ะวันนี้เราจะมาพูดถึงเฉพาะส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์ในภาพรวมนะครับ
ความสำคัญของการเข้าใจกลไกของสินค้าโภคภัณฑ์
ความรู้จะมีประโยชน์ต่อนักลงทุนที่สนใจหุ้น 2 ประเภทนี้
1. บริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์
การลงทุนในหุ้นโภคภัณฑ์สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมากหากนักลงทุนลงทุนได้ถูกจังหวะ และขาดทุนได้อย่างมากเช่นกันถ้าลงทุนผิดจังหวะ การเรียนรู้กลไกสินค้าโภคภัณฑ์จะทำให้เราลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้ดีขึ้น
2. บริษัทที่ใช้วัตถุดิบจากสินค้าโภคภัณฑ์
แน่นอนว่าเกือบทุกบริษัทต้องใช้ต้นทุนการผลิตและการบริการเป็นสินค้าโภคภัณฑ์แทบทั้งนั้น เพียงแต่สัดส่วนอาจจะแต่งต่างกันไป การทำความเข้าใจสินค้าโภคภัณฑ์จะทำให้เรารู้ถึงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของกำไรของบริษัทจากการปรับตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้น เช่น ต้นทุนลดทำให้มาร์จิ้นเพิ่มกำไรเพิ่ม ต้นทุนเพิ่มมาร์จิ้นลดกำไรลด แต่ถ้าบริษัทสามารถส่งต่อภาระของต้นทุนที่เพิ่มผ่านไปยังผู้บริโภคได้ประเด็นนี้จะไม่น่ากังวลมากนัก
นักลงทุนสามารถลงทุนกับสินค้าโภคภัณฑ์ได้หลายทาง เช่น การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรงผ่านการซื้อเก็บด้วยตนเอง หรือผ่านกองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์, อย่างที่สองคือ การลงทุนในหุ้นที่ผลิตหรือขายสินค้าโภคภัณฑ์, อย่างสุดท้ายคือ การลงทุนผ่านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (Commodities future)
แต่บทความนี้จะพูดถึงการลงทุนในหุ้นเติบโตที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก รวมถึงหุ้นเติบโตที่ใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นวัตถุดิบ (เรื่องอื่นเช่น การลงทุนในตัวสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรงหรือตลาดสินค้าล่วงหน้าอยู่นอกเขตความถนัดของผมครับ)
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554
สรุปเนื้อหาคอร์สการลงทุนของผม (ตอนที่ 2/2 ตอนจบ)
วันนี้มาว่ากันต่อเรื่องกรอบแนวคิดหลักในการลงทุนของผมนะครับ
แต่ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาเรื่องหุ้น ผมจะขอบอกกล่าวสำหรับผู้สนใจอยากเรียนสักเล็กน้อย
วิธีการใช้ประโยชน์จากบทความนี้
การอ่านบทความ สรุปเนื้อหาคอร์สการลงทุนของผม เพื่อนๆจะได้ภาพในมุมกว้างที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน รวมถึงประเด็นสำคัญในหัวข้อนั้นๆ ถ้าเพื่อนๆสนใจศึกษาต่อให้ลึกขึ้น ผมแนะนำว่า
- กรณีที่เพื่อนๆต้องการศึกษาด้วยตนเอง เนื่องจากติดธุระ ไม่ว่าง หรือผมอาจจะไม่ว่างสอนเพราะงานประจำเยอะ (ช่วงนี้เริ่มมีสอบเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะงานวิจัยอีก T_T) ขอให้อ่านหนังสือและศึกษาลงลึกด้วยตนเองตามประเด็นที่ผมเขียนไว้ (เวลาผมสอนก็จะพูดตามที่ short note ไว้ในบทความนี่ล่ะครับ) และถ้ามีคำถามสามารถโพสถามได้ทั้งใน blog และ/หรือบน wall ของ facebook ครับ (วิธีนี้น่าจะง่ายที่สุด)
- กรณีที่เพื่อนๆต้องการเรียนกับผมและไม่ต้องการรอให้คนลงชื่อเกิน 5 คน (เพราะผมจะสอนเมื่อเกิน 5 คนขึ้นไป และเพื่อนๆอาจจะรอนานเพราะ blog ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก) ขอให้เพื่อนๆรวบรวมคนที่อยากเรียนมาเองและลงชื่อว่า”ครบ” แล้วไว้ใน blog และ/หรือบน wall ของ facebook ได้ครับ
- กรณีที่มีเพื่อนๆลงชื่อใน blog และ/หรือบน wall ของ facebook ว่า ”สนใจ” ครบ 5 คน ผมจะกำหนดวันสอนล่วงหน้านะครับ
ส่วนสถานที่ผมจะนัดเป็น ห้องสมุดมารวยที่สาขาเอสพลานาดรัชดาภิเษก วันอาทิตย์เวลาเที่ยงตรง (แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีเก้าอี้ว่างหรือเปล่า...เพราะผมก็ไม่มีสถานที่ส่วนกลางเหมือนกัน หรือไม่งั้นก็ต้องเป็นโรงอาหารตามมหาลัยที่โต๊ะว่างๆ)
ส่วนถ้าเพื่อนๆคนไหนมีสถานที่รวมถึงมีคอมพิวเตอร์แล้วต้องการให้ผมไปสอนถึงที่ ขอให้เป็นที่ที่ผมสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้ และถ้าเป็นหน่วยงานหรือองค์กรขนาดใหญ่ขอใช้เปิดห้องประชุมสอนจะดีมากครับ (ผมว่างวันอาทิตย์)
ทั้งนี้เพื่อที่ผมจะสามารถสอนฟรีได้ ไม่อยากให้เกิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงความรู้แบบเท่าเทียมกัน โดยที่ผมเสียสละแรงกายและเวลาแล้วเพื่อนๆได้ประโยชน์ก็โอเคครับ :D
ความคาดหวังของผม
ผมไม่ได้ต้องการให้ทุกคนที่เรียนเล่นหุ้นเป็น แต่ต้องการให้รู้ว่าจะสร้างความมั่งคั่งทางการเงินให้กับตนเองได้อย่างไร มีทางไปทางไหนบ้าง ต้องปรับทัศนคติและเรียนรู้วิธีการตั้งแต่ขั้นพื้นฐานขึ้นไป
อยากให้เลิกคิดว่าคนจะรวยได้ต้องมีบุญวาสนา ต้องเกิดมาโชคดี เพราะมันไม่จริงเลยครับ ทุกอย่างสร้างได้ด้วยการกระทำที่เกิดจากทัศนคติที่ถูกต้อง
รวมถึงต้องการให้ทุกคนมีทัศนคติของการให้ เนื่องจากทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นต่างมาหากำไรทั้งสิ้น พูดง่ายๆคือมาเอา เราจะไม่ต่างจากคนทั่วไปเลยถ้าเราไม่รู้จักการให้การแบ่งปันผู้อื่น เมื่อใจเราลดความโลภลงจากการให้และลงทุนโดยใช้สติและปัญญา มองตามข้อมูลตามเหตุผลตามข้อเท็จจริง เราจะแตกต่างจากนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด และนั่นทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ
ถ้าคนที่ผมสอนแล้วเล่นหุ้นเป็น (หมายถึงคนที่มีวิจารณญาณ คิดเองเป็น มีเหตุผล และมีความคิดสร้างสรรค์) และถึงขึ้นเล่นเก่งได้ผมจะดีใจมาก แต่ผมคาดหวังแค่สอนซัก 100 คนมีอย่างนี้สักคนก็ดีใจแล้วครับ
เอาล่ะ...มาว่าเรื่องเนื้อหากันต่อนะครับ
แต่ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาเรื่องหุ้น ผมจะขอบอกกล่าวสำหรับผู้สนใจอยากเรียนสักเล็กน้อย
วิธีการใช้ประโยชน์จากบทความนี้
การอ่านบทความ สรุปเนื้อหาคอร์สการลงทุนของผม เพื่อนๆจะได้ภาพในมุมกว้างที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน รวมถึงประเด็นสำคัญในหัวข้อนั้นๆ ถ้าเพื่อนๆสนใจศึกษาต่อให้ลึกขึ้น ผมแนะนำว่า
- กรณีที่เพื่อนๆต้องการศึกษาด้วยตนเอง เนื่องจากติดธุระ ไม่ว่าง หรือผมอาจจะไม่ว่างสอนเพราะงานประจำเยอะ (ช่วงนี้เริ่มมีสอบเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะงานวิจัยอีก T_T) ขอให้อ่านหนังสือและศึกษาลงลึกด้วยตนเองตามประเด็นที่ผมเขียนไว้ (เวลาผมสอนก็จะพูดตามที่ short note ไว้ในบทความนี่ล่ะครับ) และถ้ามีคำถามสามารถโพสถามได้ทั้งใน blog และ/หรือบน wall ของ facebook ครับ (วิธีนี้น่าจะง่ายที่สุด)
- กรณีที่เพื่อนๆต้องการเรียนกับผมและไม่ต้องการรอให้คนลงชื่อเกิน 5 คน (เพราะผมจะสอนเมื่อเกิน 5 คนขึ้นไป และเพื่อนๆอาจจะรอนานเพราะ blog ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก) ขอให้เพื่อนๆรวบรวมคนที่อยากเรียนมาเองและลงชื่อว่า”ครบ” แล้วไว้ใน blog และ/หรือบน wall ของ facebook ได้ครับ
- กรณีที่มีเพื่อนๆลงชื่อใน blog และ/หรือบน wall ของ facebook ว่า ”สนใจ” ครบ 5 คน ผมจะกำหนดวันสอนล่วงหน้านะครับ
ส่วนสถานที่ผมจะนัดเป็น ห้องสมุดมารวยที่สาขาเอสพลานาดรัชดาภิเษก วันอาทิตย์เวลาเที่ยงตรง (แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีเก้าอี้ว่างหรือเปล่า...เพราะผมก็ไม่มีสถานที่ส่วนกลางเหมือนกัน หรือไม่งั้นก็ต้องเป็นโรงอาหารตามมหาลัยที่โต๊ะว่างๆ)
ส่วนถ้าเพื่อนๆคนไหนมีสถานที่รวมถึงมีคอมพิวเตอร์แล้วต้องการให้ผมไปสอนถึงที่ ขอให้เป็นที่ที่ผมสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้ และถ้าเป็นหน่วยงานหรือองค์กรขนาดใหญ่ขอใช้เปิดห้องประชุมสอนจะดีมากครับ (ผมว่างวันอาทิตย์)
ทั้งนี้เพื่อที่ผมจะสามารถสอนฟรีได้ ไม่อยากให้เกิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงความรู้แบบเท่าเทียมกัน โดยที่ผมเสียสละแรงกายและเวลาแล้วเพื่อนๆได้ประโยชน์ก็โอเคครับ :D
ความคาดหวังของผม
ผมไม่ได้ต้องการให้ทุกคนที่เรียนเล่นหุ้นเป็น แต่ต้องการให้รู้ว่าจะสร้างความมั่งคั่งทางการเงินให้กับตนเองได้อย่างไร มีทางไปทางไหนบ้าง ต้องปรับทัศนคติและเรียนรู้วิธีการตั้งแต่ขั้นพื้นฐานขึ้นไป
อยากให้เลิกคิดว่าคนจะรวยได้ต้องมีบุญวาสนา ต้องเกิดมาโชคดี เพราะมันไม่จริงเลยครับ ทุกอย่างสร้างได้ด้วยการกระทำที่เกิดจากทัศนคติที่ถูกต้อง
รวมถึงต้องการให้ทุกคนมีทัศนคติของการให้ เนื่องจากทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นต่างมาหากำไรทั้งสิ้น พูดง่ายๆคือมาเอา เราจะไม่ต่างจากคนทั่วไปเลยถ้าเราไม่รู้จักการให้การแบ่งปันผู้อื่น เมื่อใจเราลดความโลภลงจากการให้และลงทุนโดยใช้สติและปัญญา มองตามข้อมูลตามเหตุผลตามข้อเท็จจริง เราจะแตกต่างจากนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด และนั่นทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ
ถ้าคนที่ผมสอนแล้วเล่นหุ้นเป็น (หมายถึงคนที่มีวิจารณญาณ คิดเองเป็น มีเหตุผล และมีความคิดสร้างสรรค์) และถึงขึ้นเล่นเก่งได้ผมจะดีใจมาก แต่ผมคาดหวังแค่สอนซัก 100 คนมีอย่างนี้สักคนก็ดีใจแล้วครับ
เอาล่ะ...มาว่าเรื่องเนื้อหากันต่อนะครับ