ช่วงนี้ผมจะลงลึกเรื่องการวิเคราะห์หุ้นเติบโตนะครับ (แต่จะพยายามเขียนให้มือใหม่อ่านเข้าใจ)
ในการลงทุนในหุ้นเติบโตนั้น เราจะพิจารณาขายหุ้นเมื่อหุ้นนั้นหยุดเติบโต (กำไรไม่โตแล้ว) เพราะหุ้นเติบโตที่โตเต็มวัยก็จะกลายเป็นหุ้นโตช้าหรือหุ้นปันผลไป การได้ capital gain จากการเพิ่มของตัวกำไรอาจจะเป็นสิ่งที่คาดหวังไม่ได้อีกต่อไป แต่อาจจะมีราคาขึ้นลงตามข่าวหรือตามอารมณ์ตลาด แต่นั่นเป็นเรื่องที่เราๆคนธรรมดายากที่จะคาดเดาได้
โดยปกติถ้าตลาดที่มีประสิทธิภาพจะให้ราคาหุ้นที่ PE ไม่น้อยไปกว่าอัตราการเติบโตในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า เช่น หุ้นที่โตต่อเนื่อง 25 เปอร์เซ็นต์ต่อปีอย่างน้อยอีก 5 ปีก็ควรจะมี PE ไม่ต่ำกว่า 25 ถ้าน้อยกว่า 25 ก็ต้องถือว่าหุ้นราคาถูก ...ซึ่งไม่ใช่ดูการเติบโตย้อนหลังนะครับ เพราะในการลงทุนเราจะดูที่อนาคตของกิจการ งบการเงินในอดีตบอกเพียงการเติบโตในอดีต บอกผลงานที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันความสำเร็จ ไม่ได้รับประกันการเติบโตในอนาคต
ดังนั้นเมื่อบริษัทเติบโตถึงจุดอิ่มตัว การเติบโตจะช้าๆตาม GDP หรือเงินเฟ้อ PE ratio จะถูกปรับใกล้ค่า 10 ซึ่งเป็นอัตราตอบแทนโดยเฉลี่ยของตลาดหุ้น หรือ Earning yield ที่ 10 %นั่นเอง
ในการคิดมูลค่าสุดท้ายเมื่อบริษัทอิ่มตัวเราจะใช้สูตร
EPS (ที่โตถึงที่สุดแล้ว) x 10 (PEที่จุดอิ่มตัว) = P (ราคาหุ้นที่จุดสูงสุด)
นี่คือการคิดจากภาพสุดท้าย...ถ้าราคาถึงจุดอิ่มตัวนี้ แม้ว่าการเติบโตของกำไรจะยังไม่ถึงที่สุด แต่ตลาดให้ PE สูงมากจนแตะราคานี้ ผมก็จะพิจารณาว่าเข้าโซนขาย อาจจะ Let profit run ตลาดได้แสดงอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ แต่จะต้องตั้งจุด cut loss ไว้เป็นระยะ (Trailing stop)
แต่ค่า PE อาจจะบวกลบได้นิดหน่อยตามลักษณะของธุรกิจนั้น เช่น ถ้าเป็นกิจการค้าปลีกที่ค่อนข้างมั่นคง ตลาดอาจจะให้ PE ที่ 12-13 เช่น หุ้น Wal-mart (WMT) ที่โตเต็มที่ในอเมริกาแล้ว และต่างประเทศก็ล้วนแต่มีบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของชาติอื่นๆครองไปหมดแล้ว จะโตออกต่างประเทศก็ลำบากที่จะไปสู้กับโลตัส คาร์ฟู เป็นต้น กรณีกิจการที่อาจจะไม่มั่นคง เช่น กลุ่มรับจ้างผลิต ชิ้นส่วน (OEM – Original equipment manufacturer) หรือ พวกธุรกิจรับเหมาต่างๆ PE อาจจะต่ำกว่านี้ เช่น PE แค่ 7 เป็นต้น
ดังนั้นการมองเพดานเติบโตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะเราจะรู้ว่าเราจะถือหุ้นได้ถึงเมื่อไหร่...(แต่จะถือต่อก็ได้เพื่อรับปันผล แต่นั่นจะไม่ใช่การเล่นหุ้นเติบโตเพื่อรับส่วนต่างของราคาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นเหมือนตอนแรกที่ถือมา)
การดูเพดานของการเติบโต (ROOM OF GROWTH)
ก่อนอื่นตามความเข้าใจเบื้องต้นเราต้องประเมินก่อนว่า ผมกำลังพูดถึงการเติบโตของกำไร ซึ่งกำไรของบริษัทนั้นมาจากสูตร
(รายได้ – รายจ่ายทั้งหมด = กำไร)
ซึ่งเราต้องมาดูทั้งส่วนของรายได้และรายจ่าย เราจะได้เข้าใจที่มาของกำไรมากขึ้น และรู้ว่าการเติบโตมาจากที่ไหน และจะไปสิ้นสุดที่ไหน
1. การเมินรายได้
การเติบโตที่ดีควรจะมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยดูองค์ประกอบดังนี้
1.1 จำนวนลูกค้า (Customer number) รวมถึงจำนวนบุคคลที่มีโอกาสเป็นลูกค้า
การหาจำนวนลูกค้า เราต้องรู้ว่าลูกค้าของบริษัทคือคนกลุ่มไหนของประชากร? ผมจะลองยกตัวอย่างนะครับ
- ธุรกิจโรงพยาบาลลูกค้าคือคนทุกเพศทุกวัย (เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในโรงพยาบาลหมด)
- ธุรกิจประกันชีวิตลูกค้าส่วนใหญ่คือ คนวัยทำงาน คนสูงอายุ แล้วในปัจจุบันธุรกิจประกันมีการขยายตัวไปคนทุกเพศทุกวัย เช่น การทำประกันชีวิตตั้งแต่แรกเกิด
- ธุรกิจธนาคารลูกค้าคือ กลุ่มธุรกิจที่ต้องกู้เงิน บุคคลทั่วไปที่ต้องกู้เงินซื้อรถ ซื้อบ้าน นอกจากนั้นธนาคารยังมีการให้บริการเรื่องการลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนหุ้นเพิ่มเติมให้กับบุคคลทั่วไปวัยทำงานอีกด้วย
- ธุรกิจเครื่องประดับลูกค้าคือ ผู้หญิงวัยทำงาน ผู้ชายที่มีแฟนหรือภรรยา บุคคลทั่วไปผู้ต้องการลงทุนในอัญมณี
- ธุรกิจโรงแรมลูกค้าคือ นักท่องเที่ยวภายในประเทศและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจที่ต้องมีการเดินทางจากต่างประเทศมาเมืองไทย การจัดสัมมนาต่างๆ
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลูกค้าคือ คนวัยทำงานซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง หรือซื้อให้ลูกอยู่เวลามาเรียนต่อ นักธุรกิจหรือชาวต่างชาติ นักลงทุนในอสังหาฯเพื่อปล่อยเช่า เป็นต้น
- ธุรกิจค้าปลีกลูกค้าคือ คนทุกเพศทุกวัย
- ธุรกิจมือถือลูกค้าคือ คนทุกเพศทุกวัยที่พูดคุยได้
เป็นต้น
โดยเราจะมาดูโครงสร้างประชากรของประเทศว่ามีกลุ่มเป้าหมายของบริษัททั้งหมดเท่าไร
- แบ่งตามประเทศ เช่น ประเทศไทย ยุโรป เอเชีย อเมริกา (กรณีค้าขายหรือไปลงทุนกิจการในต่างประเทศ)
- แบ่งตามอายุ เช่น เด็กแรกเกิด เด็กวัยเรียน วัยรุ่น ผู้ใหญ่วัยเริ่มทำงาน ผู้ใหญ่วัยแต่งงานแล้ว ผู้สูงอายุ เป็นต้น
- แบ่งตามเพศ ชาย-หญิง เพศที่สาม
- แบ่งตามเศรษฐานะ เช่น กลุ่มชนชั้นสูง ชนชั้นกลางกึ่งสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางล่าง กลุ่มรากหญ้า
- แบ่งตามพื้นที่ เช่น กรุงเทพและปริมณฑล-ต่างจังหวัด หรืออาจจะแบ่งละเอียดกว่านั้นเช่น ตามเขต อำเภอ หรือลูกค้าเป็นคนต่างชาติบนพื้นที่ต่างประเทศ
สิ่งสำคัญคือ โครงสร้างของประชากรในระยะยาวจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เช่น คนสูงอายุเพิ่มขึ้นจากวิทยาการทางการแพทย์ที่สูงขึ้น เด็กเกิดลดลง ประชากรมีแนวโน้มลดลง จากเดิมเป็นพีระมิดฐานกว้างจะกลายเป็นพีระมิดหัวกลับแทน ชนชั้นกลางจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว คนจนลดลง (ถ้าเรามีรัฐบาลที่บริหารประเทศดี จะทำให้ชนชั้นกลางเยอะเร็วขึ้น) การเพิ่มขึ้นของประชากรในเมืองใหญ่ๆเนื่องจากการย้ายถิ่นฐาน หรือแม้แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรเพศชายในจีนเนื่องจากค่านิยมของคนจีนที่ชอบมีลูกชาย
เมื่อนักลงทุนเห็นภาพอนาคตเหล่านี้จะรู้ว่า อุตสาหกรรมใดจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมใดจะมีลูกค้าลดลง และเราก็จะเลือกซื้อกลุ่มอุสาหกรรมที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเรารู้แล้วว่าลูกค้าคือใคร จากธรรมชาติของธุรกิจและกลุ่มประชากร เราจะได้กลุ่มลูกค้าทั้งหมดที่เป็นเป้าหมาย
และสังเกตว่าธุรกิจใดที่เป้าหมายเป็นคนทุกเพศทุกวัย ครอบคลุมทุกพื้นที่และไม่เกี่ยงเศรษฐานะ (หรือเน้นกลุ่มรากหญ้า) หรือไปลงทุนเป็นบริษัทข้ามชาติ จะมีมูลค่าการตลาดสูงมาก (Market Caps) เช่น กลุ่มเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ เหล้าเบียร์ ร้านสะดวกซื้อ เครื่องดื่มชูกำลัง บริษัทเหล่านี้มีมูลค่าการตลาดเป็นแสนล้านบาท
1.2 ส่วนแบ่งการตลาด (Market share)
เมื่อได้กลุ่มเป้าหมายทั้งหมดแล้ว เราจะมาดูว่าบริษัทจะชิงส่วนแบ่งเค้กก้อนนี้ได้ขนาดไหน โดยเราอาจจะดูว่า
1.) ปัจจุบันมีบริษัทใดบ้างที่เป็นคู่แข่งทำธุรกิจคล้ายๆกับบริษัทที่เราลงทุนอยู่?
ถ้าบริษัทที่เราลงทุนเป็นบริษัทเดียวในอุตสาหกรรม แน่นอนว่าส่วนแบ่งการตลาด คือ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ในโลกทุนนิยมที่มีการแข่งขันอย่างเสรีมากขึ้นภายในประเทศ รวมการมีนโยบาย FTA (Free Trade Area) การเข้ามาแข่งขันของต่างชาติยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้การแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่หรือเป็นเจ้าตลาดทำได้ไม่ง่าย
2.) ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเท่าไร?
การประเมินส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบันจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้น
- ถ้าส่วนแบ่งการตลาดน้อยแต่บริษัทมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น บริษัทก็มียอดขายมากขึ้น
กรณีที่เค้กก้อนใหญ่ขึ้น (ความต้องการสินค้ามากขึ้น อุตสาหกรรมโดยรวมเติบโตขึ้น) บริษัทจะเติบโตเร็วมาก
กรณีเค้กก้อนเท่าๆเดิม บริษัทก็ยังเติบโตจากการกินส่วนแบ่งการตลาดอยู่ดี
- ถ้าบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดที่มากอยู่แล้ว
กรณีที่เค้กก้อนใหญ่ขึ้น บริษัทก็มียอดขายมากขึ้น
กรณีที่เค้กก้อนเท่าๆเดิม บริษัทก็ถึงจุดอิ่มตัว
3.) มีแนวโน้มที่จะมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นหรือไม่เพิ่มขึ้น?
สิ่งสำคัญคือดูว่าบริษัทจะใช้ความสามารถใดไปกินส่วนแบ่งการตลาดของคู่แข่ง และสามารถสู้กับคู่แข่งขันได้ในระยะยาว
1.3 รายได้ต่อลูกค้า 1 คน (Revenue per person)
นอกจากจำนวนลูกค้าแล้ว การประเมินรายได้ต่อหัวก็เป็นอีกทางในการเติบโต ถ้าลูกค้าแต่ละคนยังซื้อสินค้าและบริการน้อย บริษัทก็ควรจะมีแนวทางให้ลูกค้าใช้สินค้าและบริการบ่อยขึ้น ซื้อซ้ำบ่อยๆ ใช้สินค้าและบริการที่มีราคาแพงขึ้น โดยคิดเป็นรายได้ต่อลูกค้าแต่ละคนเพิ่มขึ้น เช่น ซื้อของเพิ่มขึ้นจะได้ลดราคาเวลาไปห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ การให้บริการเสริมของโทรศัพท์มือถือ การเพิ่มความเร็วอินเตอร์เนตซึ่งต้องจ่ายเงินเพิ่ม เป็นต้น
หรือ การขายสินค้าและบริการใหม่ๆเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ เช่น บริษัทขายขนมที่ติดตลาดแล้ว มีการปล่อยขนมยี่ห้อใหม่ออกมาอีก การบริการตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลจากเดิมที่มีแต่การตรวจรักษา เป็นต้น
2. การเพิ่มของอัตรากำไรสุทธิ
2.1 การผลิตสินค้าใหม่ๆที่มีมาร์จินสูง (High-end margin product)
คำว่ามาร์จินสูง ผมหมายถึงกำไรขั้นต้นสูง (Gross profit margin) โดยคิดจาก
(รายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการ – ต้นทุนการผลิตสินค้าหรือให้บริการ) / ต้นทุนการผลิตสินค้าหรือให้บริการ
หมายความว่าสินค้าชนิดนี้กำไรดี แน่นอนใครๆก็อยากขายสินค้าที่กำไรดีเพราะออกแรงขายเท่าเดิมแต่ได้กำไรมากขึ้น โดยมาร์จิ้นตัวนี้มากจากมูลค่าเพิ่มของสินค้าที่บริษัทสร้างขึ้น (Value added) เช่น เราคงไม่ซื้อโค้กด้วยราคาที่ซื้อ น้ำ น้ำตาล แก๊ซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เราซื้อโค้กด้วยราคาที่แพงกว่าต้นทุนเหล่านี้เพราะมูลค่าที่บริษัทโค้กสร้างขึ้นนั่นเอง โดยมาร์จินอาจจะมาจากการทำสินค้าให้มีคุณภาพสูง ตราสินค้าที่คนนิยม ใช้แล้วดูมีระดับ ทำให้สามารถตั้งราคาขายได้สูงๆ หรือมาจากการที่บริษัทควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี
ถ้าบริษัทขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้กำไรสุทธิสูงขึ้นแม้ว่ายอดขายอาจจะเท่าๆเดิม และถ้ายอดขายยิ่งเพิ่มขึ้นด้วยแล้วล่ะก็...กำไรสุทธิยิ่งเติบโตขึ้นมากขึ้นไปอีก
2.2 การลดต้นทุน (Reduce cost)
ต้นทุนการผลิตสินค้ามาจาก 2 ส่วนหลักๆ
-Fixed cost หรือ ต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนที่อย่างไรบริษัทก็ต้องจ่ายไม่ว่าจะมีรายได้เท่าใดก็ตาม เช่น ค่าเสื่อมราคาของตึก อาคาร ค่าใช้จ่ายพนักงานประจำ ค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์หรือโรงงาน ดอกเบี้ยที่กู้มาด้วยอัตราคงที่ เป็นต้น
-Variable cost หรือต้นทุนแปรผัน เป็นต้นทุนที่เพิ่มตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น เช่น ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้า ยิ่งผลิตสินค้ามากยิ่งต้องซื้อและใช้ทุนในการผลิตสูงขึ้น ค่าตอบแทนพนักงานหรือผู้บริหารที่คิดตามยอดขาย เงินโบนัสที่คิดจากกำไรของบริษัท เป็นต้น
การที่บริษัทลดต้นทุนไม่ว่าจะเป็นต้นทุนคงที่หรือต้นทุนแปรผันได้ย่อมทำให้กำไรสูงขึ้น โดยอาจจะมาจากการต่อรองกับผู้ขายสินค้าที่ใช้ผลิต (Supplier) ได้สูง ทำให้ซื้อของได้ถูกลง การใช้พนักงานในจำนวนที่เหมาะสมและทุกคนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
2.3 การประหยัดต่อขนาด (Economy of scale)
นอกจากนั้นเมื่อรายได้ของบริษัทโตไปจนถึงจุดหนึ่ง จะเกิดการประหยัดต่อขนาด หมายถึง การที่รายได้สูงกว่าต้นทุนคงที่มากๆ และการที่ต้นทุนแปรผันไม่เพิ่มขึ้นมากตามรายได้ กำไรจะเพิ่มขึ้นมาก
เช่น การขายของต่อสาขาได้เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ใช้ค่าพนักงานและสถานที่เท่าๆเดิม แต่พอรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาก็เป็นกำไรเกือบทั้งหมด
ดังนั้นการประหยัดต่อขนาดย่อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจ (มาก)
3. การเข้ามาแข่งของสินค้าทดแทน (Substitute product)
การถูกคุกคามจากสินค้าทดแทนนับว่าเป็นสิ่งที่ควรระวัง เพราะทำให้การเติบโตหยุดชะงักหรือหดตัวได้
เช่น โนเกียเจ้าตลาดมือถือสมัยก่อน ปัจจุบันโดนแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปมากจาก iphone BB Smartphone ต่างๆ ราคาหุ้นและยอดขายของโนเกียมีแต่ตกต่ำลง, หรือ กล้องโพรารอยซึ่งสูญพันธ์ไปจากการถูกแทนที่ด้วยกล้องดิจิตอล เป็นต้น
แล้วการที่บริษัทที่เป็นหุ้นสุดยอดหรือ super stock ที่สามารถถือได้ตลอดชีวิตแบบที่ปู่บัฟเฟตต์ชอบถือ นั่นเกิดจากการที่บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันระยะยาวที่สูงมาก สามารถเติบโตได้เรื่อยๆจากหลายๆปัจจัยข้างต้น แต่ในทัศนะของผมสุดท้ายไม่ว่าจะเจ๋งแค่ไหนก็ต้องถึงจุดอิ่มตัวในที่สุด เพียงแต่หุ้นเทพเหล่านี้อาจจะใช้เวลาในการอิ่มตัวที่นานมากมากกกก เท่านั้นเอง
เมื่อลองพิจารณาถึงปัจจัยเหล่านี้ให้รอบคอบแล้ว เราจะมองเห็นภาพในอนาคตว่าสุดท้ายกำไรที่บริษัททำได้เมื่อเติบโตเต็มที่นั้นได้เท่าไร โดยการเติบโตอาจจะใช้เวลา 5-10 ปี หรือนานแค่ไหนก็ตาม ถ้าคิดออกมาแล้วผลตอบแทนต่อปีสูงกว่า 25 เปอร์เซ็นต์แบบทบต้นจากต้นทุนที่ถืออยู่ก็ถือไปเรื่อยๆได้เลยครับ
โดยปกติหุ้นที่ผมถือยาว ผมจะคิดง่ายๆว่าบริษัทโตเป็นเท่าตัวได้ใน 3 ปีก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ
การลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตนั้น แรกๆราคาจะนิ่งมาก (นอกจากจะมีคนไปเชียร์ ไปโฆษณา) แต่ขอให้มั่นใจเถอะครับ การถือหุ้นเติบโตในระยะยาวนั้นผลตอบแทนคุ้มค่ากับความอดทนจริงๆครับ
ความอดทนนั้นขมขื่น แต่ผลของมันหวานชื่นเสมอครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น