แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การพัฒนาตนเอง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การพัฒนาตนเอง แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การทำธุรกิจ VS การลงทุนในหุ้น

ผมสังเกตว่าหลายคนที่เข้ามาเล่นหุ้นเพราะไม่อยากทำงานประจำที่มีรายได้น้อย  ฝันที่จะไม่ต้องทำงานแล้วมีเงินไหลเข้ามือตลอดเวลา...ซึ่งเป็นแนวคิดเรื่อง Passive income ที่นิยมมากตั้งแต่มีหนังสือเรื่องพ่อรวยสอนลูก

การทำงานประจำ การทำธุรกิจส่วนตัวเป็นสิ่งไม่ควรเสียเวลาไปทำเพราะเป็นงานฝั่งซ้ายหรือเปล่า? (เรื่องฝั่งซ้าย - ฝั่งขวาผมจะอธิบายต่อไปนะครับ)

ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะเคยอ่านหนังสือชุดพ่อรวยสอนลูกของ Robert T. Kiyosaki ซึ่งผมคิดว่าเป็นหนังสือการสร้าง Mind Set ในการลงทุนที่ดีมาก  ผมอ่านไป 2 เล่ม คือ  พ่อรวยสอนลูกและเงินสี่ด้าน  ซึ่งหนังสือเล่มแรกจะพูดถึงนิยามของทรัพย์สินและหนี้สินในความหมายของการนำเข้าหรือดึงออกของกระแสเงินสด  ให้เราซื้อทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสดเข้าพอร์ต  ลดหนี้สินที่ดึงกระแสเงินสดออกจากพอร์ต  หนังสือเล่มที่ 2 จะพูดถึงที่มาของรายได้ว่าไม่ได้แค่เงินเดือนหรือค่าจ้างจากการทำงานเพียงอย่างเดียว...แต่ที่มาของรายได้มีถึง 4 ทางหลัก  ซึ่งผมจะทยอยแจกแจงให้ฟังครับ

เงิน 4 ด้าน ประกอบด้วย E  S  อยู่ฝั่งซ้าย  และ B  I  อยู่ฝั่งขวา

ฝั่งซ้าย

E = Employee (ลูกจ้าง) ทำงานประจำรับเงินเดือน  ไม่ว่างานของเราจะเป็นงานตั้งแต่แรงงานไร้ฝีมือไปจนถึงงานที่เป็นวิชาชีพต้องใช้ทักษะความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน  ถ้าได้รับเงินเดือนเป็นรายได้ถือว่าเป็นกลุ่ม Employee ครับ

S = Self employed (ธุรกิจส่วนตัว) รายได้มาจากกิจการของเราเอง  โดยที่เป็นงานที่เราคนเดียวที่ทำได้

ทั้ง E และ S ถือว่ารายได้มาจากการทำงาน  ถ้าไม่ทำงานย่อมไม่มีรายได้...เป็นความเข้าใจที่คนส่วนใหญ่มีกัน  เมื่อก่อนผมก็คิดอย่างนี้ครับ  ซึ่งมีธุรกิจมากมายที่เข้ามาหารายได้จากผู้ที่ความคิดว่า..."ถ้าไม่ทำงานย่อมไม่มีรายได้" เช่น  ธุรกิจประกันชีวิตที่เข้ามาเติมเต็มความมั่นคง...ให้เราอุ่นใจว่าเมื่อเราเจ็บป่วยเราจะมีค่ารักษาพยาบาลและรายได้ชดเชยเวลาที่เราไม่ได้ทำงาน,  ธุรกิจด้านการลงทุน กองทุนรวม เข้ามาระดมเงินจากเงินออมของมนุษย์เงินเดือนเหล่านี้ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการของฝั่งซ้าย...คือธุรกิจที่เกี่ยวกับฝั่งขวาทั้งสิ้น  (ไม่ต้องทำงานหรือทำงานจนถึงจุดหนึ่งจะรายได้เข้ามาโดยไม่ต้องทำงาน)
  ฝั่งขวา

B = Business owner (เจ้าของระบบธุรกิจ)  มีกิจการของตัวเองแต่ไม่ต้องดูแลตลอดเวลา  สามารถจ้างคนเก่งมาทำแทนได้  โดยเราเป็นผู้ดูแลระบบให้เป็นไปได้ด้วยดี

I = Investor (นักลงทุน)  เรานำเงินออมไปซื้อสินทรัพย์ที่สร้างรายได้และมีกระแสเงินสดเข้าพอร์ต  เช่น  หุ้น  พันธบัตร  ที่ดิน  อพาร์ตเม้นท์ให้เช่า  เป็นต้น  ให้เงินทำงานหาเงินแทนเรา

(ช่วงหลังจากนี้ผมจะใช้ตัวย่อ  ให้อ้างอิงตามด้านบนนะครับ)

ผมไม่คิดว่าอาชีพด้านขวา (B,I) ดีกว่าหรือเหนือกว่าด้านซ้าย (E,S) ในแง่ของคุณค่าเรื่องอาชีพการงาน  เพราะงานทุกงานล้วนแต่สร้างประโยชน์ต่อผู้คนและมีประโยชน์ต่อระบบโดยรวมทั้งนั้น  (ผมหมายถึงอาชีพ"สุจริต"ทุกอาชีพนะครับ)  แต่สิ่งที่ผมได้จากหนังสือคือ..."รายได้ไม่ได้มาจากทางเดียวและไม่จำเป็นต้องมาจากการทำงาน"      

การทำอาชีพด้านซ้าย (E,S) มีผลดีต่อการพัฒนาตัวเราครับ

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความเชื่อของผมในเรื่องการลงทุน

มนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ล้วนมีความเชื่อ  บ้างก็เชื่อในศาสนา  บ้างเชื่อในพระเจ้า  บ้างเชื่อในแนวคิดอะไรบางอย่าง...  บางทีความเชื่ออาจจะได้รับการคัดเลือกมาตามหลัก Natural selection เนื่องจากมีประโยชน์ในการอยู่รอดและขยายเผ่าพันธุ์  แต่นั่นก็เป็นเพียงสมมุติฐาน

ความเชื่อ...หลายๆครั้ง  ความเชื่อนั้นอาจจะไม่มีเหตุผลรองรับ  ไม่มีหลักฐาน  หลายๆครั้งความเชื่อก็พาเราเข้าสู่ความงมงาย  ไร้ซึ่งปัญญา

แต่หลายๆครั้งความเชื่อก็มีประโยชน์  เช่น  ความเชื่อในการทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่วในลักษณะผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจริงๆในอนาคตไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ทางใจ  เราไม่สามารถพิสูจน์เป็นตัวเลขที่ชัดเจนหรือความความสัมพันธ์เชิงเส้นได้เลย  แต่ความเชื่อนี้ทำให้ชีวิตของผู้ที่เชื่อและปฎิบัติตามเป็นคนดี  ไม่ทำความชั่ว  สังคมก็มีแต่ความสุข

(ส่วนตัวผมเชื่อเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วในผลลัพธ์ทางจิตใจ  เพราะเห็นชัดเจนขณะที่ทำทันที  และเห็นผลดีต่อผู้รับอย่างชัดเจน  คนอื่นจะยกย่องหรือไม่...ไม่สำคัญ  ส่วนผลลัพธ์ต่อตัวเราในเชิงรูปธรรมในอนาคตผมไม่ทราบจริงๆ  แต่เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอที่จะเชื่อแล้ว)

ความเชื่อว่าชีวิตต้องดีขึ้นอาจจะพาเราผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายได้  แม้ว่าจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร   แต่คนที่เชื่อจะลุกขึ้นสู้แม้ว่าจะมองไม่เห็นทาง  สู้ไปสู้มาสถานการณ์เปลี่ยน...ชีวิตเลยดีขึ้นจริงๆ  คนที่ไม่มีความเชื่อก็ท้อแท้ตอนที่มองไม่เห็นทาง  สุดท้ายล้มเหลวไปจริงๆ

ความเชื่อในรักแท้อาจจะทำให้เรามองหารักแท้มากกว่าคนที่ไม่เชื่อ  แม้ว่าจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร  แต่คนที่เชื่ออาจจะมองหาคนที่ใช่  เปิดใจให้กับคนที่เข้ามาในชีวิต  พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

ทั้งๆที่สิ่งที่เราเชื่อจริงหรือเปล่า??  ไม่มีใครรู้ครับ

ความเชื่อ กับ ความจริง ... อาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

เมื่อมีข้อมูล, หลักฐาน, ความเชื่อได้รับการพิสูจน์  ความเชื่อจะไม่ใช่ความเชื่อจะกลายเป็นความจริงทันที  (ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์ว่าความเชื่อถูกหรือผิดก็ตาม)  แต่ตราบใดที่เรายังไม่รู้  ความเชื่อจะยังคงเป็นความเชื่อต่อไป   

ในการลงทุนเราต้องแยกความเชื่อกับความจริง  ข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นให้ได้ (Fact vs Opinion)  ไม่อย่างนั้นเราจะตกอยู่ในโลกของมายาที่เราสร้างขึ้นเองด้วยอคติ (Bias) ของเรา

เช่น...ถ้าเราเชื่อว่าหุ้น A จะเป็น super stock ตัวใหม่  เราจะต้องหาข้อมูลทั้งในด้านที่สนับสนุนและขัดแย้ง  แล้วนำมาวิเคราะห์ทั้งโอกาสและความเสี่ยง  รวมถึงให้คนอื่นช่วยประเมินเพื่อลดอคติของความชอบความชังของเราลงไป  เพื่อให้ได้ภาพที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

ในเรื่องของการลงทุนที่ไม่มีความแน่นอน  เป็นการมองไปยังอนาคตที่ไม่มีใครสักคนในโลกล่วงรู้  โลกของการลงทุนยิ่งเต็มไปด้วยความเชื่อมากมาย

“คุณมีความเชื่ออะไรในการลงทุน??”

ในโอกาสที่ผมลงทุนมากว่า 3 ปี  ผมขอแชร์ความเชื่อของผมในเรื่องการลงทุนนะครับ

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รู้จักและเข้าใจตนเองก่อนลงทุน

เวลาที่มือใหม่ที่สนใจลงทุนในหุ้นเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆมักจะมองดูคนที่ประสบความสำเร็จว่าใช้วิธีใดบ้าง  เพื่อจะได้ทำตามแล้วประสบความสำเร็จเหมือนกัน  พอมือใหม่เห็นว่านักเก็งกำไรชั้นเซียนทำเงินได้มากมายก็ลองไปเล่นแบบเก็งกำไรแล้วก็ขาดทุนหนักเพราะไม่รู้จังหวะเข้าออก  แล้วพอเห็นว่านักลงทุนกลุ่ม Value investor ชั้นเซียนทำกำไรได้มากมายก็ไปลองเล่นแบบ VI แต่เนื่องจากวิเคราะห์หุ้นไม่เป็นและซื้อที่ราคาแพงหรือซื้อตามเซียนทำให้ขาดทุนหนัก

นักลงทุนที่มองหาสูตรสำเร็จด้านการลงทุนว่าจะต้องทำ 1-2-3-4  แล้วประสบความสำเร็จแบบแน่นอน  ผมบอกได้เลยครับว่า”ไม่มี”  เพราะเมื่อคุณก้าวออกมาจากโลกแห่งความมั่นคงของดอกเบี้ยเงินฝาก (กรณีที่รัฐยังคุ้มครองอยู่)  คุณจะต้องพบกับความเสี่ยง  ไม่ว่าคุณจะลงทุนทำธุรกิจด้วยตนเองหรือเป็นนักลงทุนในทรัพย์สินประเภทใดๆก็ตาม  นั่นคือคุณมีโอกาสขาดทุนหรือเจ๊งได้

แต่ความเสี่ยงไม่ใช่สิ่งที่จะหยุดยั้งเราจากความสำเร็จครับ

การบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทน (Risk/Reward) อย่างเหมาะสมจะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จได้  ...แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ?  การเรียนรู้จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จเป็นสิ่งจำเป็นครับ แต่การทำตามแนวทางการลงทุนของเซียนโดยไม่รู้จักตนเองเลยนั้น  ก็เหมือนกับการเลือกอาวุธที่ไม่เหมาะสมกับตนเองออกไปสู้  ...อาวุธ เช่น ดาบคู่ อาจจะเป็นยอดศาสตราเมื่ออยู่ในมือยอดนักรบอย่างมูซาชิ  แต่ถ้าดาบคู่เล่มเดียวกันอยู่ในมือของทหารเลวคงไม่สามารถสำแดงพลังออกมาได้  แต่ไม่ได้หมายความว่าดาบคู่ไม่ใช่อาวุธที่ดี

การเข้าใจความสามารถ  ความถนัดของตนเอง  เลือกอาวุธที่เหมาะสมกับตนเอง  จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อนักรบที่จะก้าวสู่สนามรบที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับสูงแล้วเป็นผู้ชนะได้ (หรืออย่างน้อยไม่แพ้ เอาตัวรอดได้)

นักเก็งกำไรชั้นเซียนระบบการเทรดยังไม่เหมือนกัน  บางคนดู MACD  บางคนดู RSI  บางคนดู indicator ของตนเอง  นักเก็งกำไรบางคนดูข่าวควบคู่ไปด้วย  บางคนดูแต่กราฟไม่ดูพื้นฐานเลย (จริงๆ ผมก็ยังไม่ถ่องแท้เรื่องการเทรดเท่าไรนักนะครับแค่ยกตัวอย่างให้ฟัง) ...นักลงทุนเน้นคุณค่าเองก็มีแนวทางและความถนัดในรูปแบบที่แตกต่างกัน  เช่น  บางคนชอบหุ้นโภคภัณฑ์  บางคนชอบหุ้นเติบโต  บางคนถือแต่หุ้นสุดยอด (Super stock)  บางคนดูทั้งพื้นฐานหุ้นและดูกราฟประกอบไปด้วย  บางคนไม่ใช้กราฟเลย  บางคนเล่นรายไตรมาส  รายปี  ขณะที่บางคนดูยาวไป 5 ปี  ฯลฯ

ดังนั้นความเข้าใจตนเองของนักลงทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเลือกแนวทางการลงทุนของตนเองเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ  ผมเองสอนมือใหม่มาหลายรุ่น  นักเรียนแต่ละคนผมก็ไม่เคยบอกว่าจะต้องทำแบบผมนะ ต้องลงทุนในหุ้นเติบโตแล้วถือยาวๆถึงจะดีนะ  บางคนดูแววแล้วน่าจะเป็นนักเก็งกำไรที่ดีได้ผมก็แนะนำแนวทางเก็งกำไรไป  แต่ผมสอนรายละเอียดไม่ได้เพราะผมไม่ถนัดเก็งกำไร  ผมสอนแต่สิ่งที่ผมเข้าใจและเชื่อมั่นเท่านั้น

ในการทำความเข้าใจตนเองนั้น  ประเด็นที่ต้องสังเกตผมว่ามีดังนี้ครับ   

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กลยุทธ์ลดน้ำหนัก

(บทความนี้ไม่เกี่ยวกับการลงทุน เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองครับ)

เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีประสบการณ์ตั้งใจลดน้ำหนัก...อาจจะสำเร็จหรือล้มเหลวปะปนกันไป
ผมเองเป็นคนนึงที่เคยพยายามลดน้ำหนักหลายครั้ง...เคยลดได้ทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนไปซัมเมอร์ที่แคนาดา ลดได้ 6-7 kgs ครั้งที่2 ตอนทำงานที่รพ.แวงน้อยตอนไปใช้ทุน ลดได้ 5-6 kgs แต่ก็กลับมาอ้วนเหมือนเดิมและอ้วนกว่าเดิมด้วย...

น้ำหนักตัวเท่าไรถึงเหมาะสม?
ก่อนอื่นเราต้องหาน้ำหนักที่เหมาะสมกับแต่ละคนก่อน...โดยดูจาก BMI (Body Mass Index) คือ ดัชนีมวลกาย ถ้าค่าBMI มากกว่า 25 ถือว่าน้ำหนักเกินแล้ว ถ้าค่า BMI 18.5-25 ถือว่าโอเค ถ้าค่า BMI น้อยกว่า 18.5 ถือว่าผอม น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์

โดย BMI = น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง

เขียนเป็นสูตร BMI = (Body weight-Kg)/(Height-m)²

เช่น ตอนนี้ผมน้ำหนัก 73 กิโลกรัม สูง 1.65 เมตร จะได้ดัชนีมวลกาย 26 ซึ่งถือว่าน้ำหนักเกิน


วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

ผู้ชายที่แท้จริง

(เอาบทความเก่ามาลงครับ^^)

แรงบันดาลใจของการเขียนบทความนี้มาจาก...เวลาที่ผมเจอผู้ชายที่มองว่าตัวเองไม่มีค่า...ขาดเธอไปฉันจะอยู่ไม่ได้ฉันจะต้องตาย...นี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกพวกเค้าเหล่านั้น...

โลกเราตอนนี้ประชากรผู้ชายเริ่มน้อยกว่าผู้หญิง(ยกเว้นเมืองจีน)  เพศชายบางส่วนก็กลายเป็นเกย์ชอบเพศเดียวกัน  บ้างก็เสร็จเกย์ไป  ผู้ชายจึงเหลือน้อยเต็มที...และผู้ชายมีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและพัฒนาตนเองจนกลายเป็น...ผู้ชายที่แท้จริงนั้น  ผู้ชายที่เป็นชายเหนือชายที่หาได้ยากมากๆในปัจจุบัน...

จะก้มหน้ามองพื้นแล้วโทษชะตาหรือเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วตะโกนบอกว่า ”ฉันคือคนที่มีค่าที่สุด”...คนที่เลือกคือตัวเรา

พร้อมที่จะพัฒนาตัวเองหรือยังครับ?

ลักษณะของผู้ชายที่แท้จริง

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้ออ้างที่จะไม่ยอมประสบความสำเร็จ

ฟังหัวข้อแล้วดูแปลกใช่ใหมครับ ก็ใครล่ะจะไม่อยากประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่ก็อยากประสบความสำเร็จกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน ความรัก ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การมีความสุข และถามว่าคนทั่วไปรู้มั๊ยว่าทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ เช่น อยากเรียนเก่ง ทุกคนก็รู้ว่าต้องขยันอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนในห้อง หมั่นทบทวนบทเรียน ฝึกทำข้อสอบ แต่ทำไมคนส่วนมากจึงไม่ประสบความสำเร็จการเรียนเท่าที่ควร หรืออยากผอม อยากหุ่นดี ทุกคนก็รู้ว่าต้องควบคุมอาหารให้พอเหมาะและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่เราก็ยังเห็นคนส่วนใหญ่ล้มเหลวเรื่องการลดน้ำหนัก (รวมทั้งผมด้วย T_T)

นั่นเป็นเพราะว่า เรารู้...แต่เราทำไม่ได้!!! เนื่องจากเหตุผลบางอย่างที่เราชอบใช้เป็นข้ออ้าง ยกตัวอย่างเช่น...กรณีลดน้ำหนัก  ”ช่วงนี้ทำงานหนักก็เลยหิวบ่อย”  “ไม่มีเวลาออกกำลังเลย”  “ขอกินก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยลด”  “ออกกำลังแล้วเหนื่อยทำงานไม่ไหว”  “ไม่ได้กินแล้วไม่แรงเลย” สารพัดเรื่องที่เราจะหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงทำไม่ได้ตามแผนที่วางไว้...หรือที่แย่กว่านั้นคือไม่ได้วางแผนไว้เลยตั้งแต่ต้น >_<”

ในเรื่องการลงทุนก็มีข้ออ้างมากมายเช่นกัน...

ด้วยความที่ผมสอนเรื่องการลงทุนให้กับมือใหม่หลายครั้งและพูดคุยกับคนนอกตลาดที่ไม่ได้ลงทุนหลายๆคน จะพบว่ามีความเชื่อหลายๆอย่างที่ผมคิดว่าเป็นอุปสรรคของการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

ข้ออ้างที่คนส่วนใหญ่ใช้เพื่อจะบอกว่าทำไมตัวเองลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ