ผมสังเกตว่าหลายคนที่เข้ามาเล่นหุ้นเพราะไม่อยากทำงานประจำที่มีรายได้น้อย ฝันที่จะไม่ต้องทำงานแล้วมีเงินไหลเข้ามือตลอดเวลา...ซึ่งเป็นแนวคิดเรื่อง Passive income ที่นิยมมากตั้งแต่มีหนังสือเรื่องพ่อรวยสอนลูก
การทำงานประจำ การทำธุรกิจส่วนตัวเป็นสิ่งไม่ควรเสียเวลาไปทำเพราะเป็นงานฝั่งซ้ายหรือเปล่า? (เรื่องฝั่งซ้าย - ฝั่งขวาผมจะอธิบายต่อไปนะครับ)
ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะเคยอ่านหนังสือชุดพ่อรวยสอนลูกของ Robert T. Kiyosaki ซึ่งผมคิดว่าเป็นหนังสือการสร้าง Mind Set ในการลงทุนที่ดีมาก ผมอ่านไป 2 เล่ม คือ พ่อรวยสอนลูกและเงินสี่ด้าน ซึ่งหนังสือเล่มแรกจะพูดถึงนิยามของทรัพย์สินและหนี้สินในความหมายของการนำเข้าหรือดึงออกของกระแสเงินสด ให้เราซื้อทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสดเข้าพอร์ต ลดหนี้สินที่ดึงกระแสเงินสดออกจากพอร์ต หนังสือเล่มที่ 2 จะพูดถึงที่มาของรายได้ว่าไม่ได้แค่เงินเดือนหรือค่าจ้างจากการทำงานเพียงอย่างเดียว...แต่ที่มาของรายได้มีถึง 4 ทางหลัก ซึ่งผมจะทยอยแจกแจงให้ฟังครับ
เงิน 4 ด้าน ประกอบด้วย E S อยู่ฝั่งซ้าย และ B I อยู่ฝั่งขวา
ฝั่งซ้าย
E = Employee (ลูกจ้าง) ทำงานประจำรับเงินเดือน ไม่ว่างานของเราจะเป็นงานตั้งแต่แรงงานไร้ฝีมือไปจนถึงงานที่เป็นวิชาชีพต้องใช้ทักษะความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน ถ้าได้รับเงินเดือนเป็นรายได้ถือว่าเป็นกลุ่ม Employee ครับ
S = Self employed (ธุรกิจส่วนตัว) รายได้มาจากกิจการของเราเอง โดยที่เป็นงานที่เราคนเดียวที่ทำได้
ทั้ง E และ S ถือว่ารายได้มาจากการทำงาน ถ้าไม่ทำงานย่อมไม่มีรายได้...เป็นความเข้าใจที่คนส่วนใหญ่มีกัน เมื่อก่อนผมก็คิดอย่างนี้ครับ ซึ่งมีธุรกิจมากมายที่เข้ามาหารายได้จากผู้ที่ความคิดว่า..."ถ้าไม่ทำงานย่อมไม่มีรายได้" เช่น ธุรกิจประกันชีวิตที่เข้ามาเติมเต็มความมั่นคง...ให้เราอุ่นใจว่าเมื่อเราเจ็บป่วยเราจะมีค่ารักษาพยาบาลและรายได้ชดเชยเวลาที่เราไม่ได้ทำงาน, ธุรกิจด้านการลงทุน กองทุนรวม เข้ามาระดมเงินจากเงินออมของมนุษย์เงินเดือนเหล่านี้ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการของฝั่งซ้าย...คือธุรกิจที่เกี่ยวกับฝั่งขวาทั้งสิ้น (ไม่ต้องทำงานหรือทำงานจนถึงจุดหนึ่งจะรายได้เข้ามาโดยไม่ต้องทำงาน)
ฝั่งขวา
B = Business owner (เจ้าของระบบธุรกิจ) มีกิจการของตัวเองแต่ไม่ต้องดูแลตลอดเวลา สามารถจ้างคนเก่งมาทำแทนได้ โดยเราเป็นผู้ดูแลระบบให้เป็นไปได้ด้วยดี
I = Investor (นักลงทุน) เรานำเงินออมไปซื้อสินทรัพย์ที่สร้างรายได้และมีกระแสเงินสดเข้าพอร์ต เช่น หุ้น พันธบัตร ที่ดิน อพาร์ตเม้นท์ให้เช่า เป็นต้น ให้เงินทำงานหาเงินแทนเรา
(ช่วงหลังจากนี้ผมจะใช้ตัวย่อ ให้อ้างอิงตามด้านบนนะครับ)
ผมไม่คิดว่าอาชีพด้านขวา (B,I) ดีกว่าหรือเหนือกว่าด้านซ้าย (E,S) ในแง่ของคุณค่าเรื่องอาชีพการงาน เพราะงานทุกงานล้วนแต่สร้างประโยชน์ต่อผู้คนและมีประโยชน์ต่อระบบโดยรวมทั้งนั้น (ผมหมายถึงอาชีพ"สุจริต"ทุกอาชีพนะครับ) แต่สิ่งที่ผมได้จากหนังสือคือ..."รายได้ไม่ได้มาจากทางเดียวและไม่จำเป็นต้องมาจากการทำงาน"
การทำอาชีพด้านซ้าย (E,S) มีผลดีต่อการพัฒนาตัวเราครับ
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การพัฒนาตนเอง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การพัฒนาตนเอง แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ความเชื่อของผมในเรื่องการลงทุน
มนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ล้วนมีความเชื่อ บ้างก็เชื่อในศาสนา บ้างเชื่อในพระเจ้า บ้างเชื่อในแนวคิดอะไรบางอย่าง... บางทีความเชื่ออาจจะได้รับการคัดเลือกมาตามหลัก Natural selection เนื่องจากมีประโยชน์ในการอยู่รอดและขยายเผ่าพันธุ์ แต่นั่นก็เป็นเพียงสมมุติฐาน
ความเชื่อ...หลายๆครั้ง ความเชื่อนั้นอาจจะไม่มีเหตุผลรองรับ ไม่มีหลักฐาน หลายๆครั้งความเชื่อก็พาเราเข้าสู่ความงมงาย ไร้ซึ่งปัญญา
แต่หลายๆครั้งความเชื่อก็มีประโยชน์ เช่น ความเชื่อในการทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่วในลักษณะผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจริงๆในอนาคตไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ทางใจ เราไม่สามารถพิสูจน์เป็นตัวเลขที่ชัดเจนหรือความความสัมพันธ์เชิงเส้นได้เลย แต่ความเชื่อนี้ทำให้ชีวิตของผู้ที่เชื่อและปฎิบัติตามเป็นคนดี ไม่ทำความชั่ว สังคมก็มีแต่ความสุข
(ส่วนตัวผมเชื่อเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วในผลลัพธ์ทางจิตใจ เพราะเห็นชัดเจนขณะที่ทำทันที และเห็นผลดีต่อผู้รับอย่างชัดเจน คนอื่นจะยกย่องหรือไม่...ไม่สำคัญ ส่วนผลลัพธ์ต่อตัวเราในเชิงรูปธรรมในอนาคตผมไม่ทราบจริงๆ แต่เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอที่จะเชื่อแล้ว)
ความเชื่อว่าชีวิตต้องดีขึ้นอาจจะพาเราผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ แม้ว่าจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่คนที่เชื่อจะลุกขึ้นสู้แม้ว่าจะมองไม่เห็นทาง สู้ไปสู้มาสถานการณ์เปลี่ยน...ชีวิตเลยดีขึ้นจริงๆ คนที่ไม่มีความเชื่อก็ท้อแท้ตอนที่มองไม่เห็นทาง สุดท้ายล้มเหลวไปจริงๆ
ความเชื่อในรักแท้อาจจะทำให้เรามองหารักแท้มากกว่าคนที่ไม่เชื่อ แม้ว่าจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่คนที่เชื่ออาจจะมองหาคนที่ใช่ เปิดใจให้กับคนที่เข้ามาในชีวิต พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
ทั้งๆที่สิ่งที่เราเชื่อจริงหรือเปล่า?? ไม่มีใครรู้ครับ
ความเชื่อ กับ ความจริง ... อาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
เมื่อมีข้อมูล, หลักฐาน, ความเชื่อได้รับการพิสูจน์ ความเชื่อจะไม่ใช่ความเชื่อจะกลายเป็นความจริงทันที (ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์ว่าความเชื่อถูกหรือผิดก็ตาม) แต่ตราบใดที่เรายังไม่รู้ ความเชื่อจะยังคงเป็นความเชื่อต่อไป
ในการลงทุนเราต้องแยกความเชื่อกับความจริง ข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นให้ได้ (Fact vs Opinion) ไม่อย่างนั้นเราจะตกอยู่ในโลกของมายาที่เราสร้างขึ้นเองด้วยอคติ (Bias) ของเรา
เช่น...ถ้าเราเชื่อว่าหุ้น A จะเป็น super stock ตัวใหม่ เราจะต้องหาข้อมูลทั้งในด้านที่สนับสนุนและขัดแย้ง แล้วนำมาวิเคราะห์ทั้งโอกาสและความเสี่ยง รวมถึงให้คนอื่นช่วยประเมินเพื่อลดอคติของความชอบความชังของเราลงไป เพื่อให้ได้ภาพที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
ในเรื่องของการลงทุนที่ไม่มีความแน่นอน เป็นการมองไปยังอนาคตที่ไม่มีใครสักคนในโลกล่วงรู้ โลกของการลงทุนยิ่งเต็มไปด้วยความเชื่อมากมาย
“คุณมีความเชื่ออะไรในการลงทุน??”
ในโอกาสที่ผมลงทุนมากว่า 3 ปี ผมขอแชร์ความเชื่อของผมในเรื่องการลงทุนนะครับ
ความเชื่อ...หลายๆครั้ง ความเชื่อนั้นอาจจะไม่มีเหตุผลรองรับ ไม่มีหลักฐาน หลายๆครั้งความเชื่อก็พาเราเข้าสู่ความงมงาย ไร้ซึ่งปัญญา
แต่หลายๆครั้งความเชื่อก็มีประโยชน์ เช่น ความเชื่อในการทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่วในลักษณะผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจริงๆในอนาคตไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ทางใจ เราไม่สามารถพิสูจน์เป็นตัวเลขที่ชัดเจนหรือความความสัมพันธ์เชิงเส้นได้เลย แต่ความเชื่อนี้ทำให้ชีวิตของผู้ที่เชื่อและปฎิบัติตามเป็นคนดี ไม่ทำความชั่ว สังคมก็มีแต่ความสุข
(ส่วนตัวผมเชื่อเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วในผลลัพธ์ทางจิตใจ เพราะเห็นชัดเจนขณะที่ทำทันที และเห็นผลดีต่อผู้รับอย่างชัดเจน คนอื่นจะยกย่องหรือไม่...ไม่สำคัญ ส่วนผลลัพธ์ต่อตัวเราในเชิงรูปธรรมในอนาคตผมไม่ทราบจริงๆ แต่เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอที่จะเชื่อแล้ว)
ความเชื่อว่าชีวิตต้องดีขึ้นอาจจะพาเราผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ แม้ว่าจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่คนที่เชื่อจะลุกขึ้นสู้แม้ว่าจะมองไม่เห็นทาง สู้ไปสู้มาสถานการณ์เปลี่ยน...ชีวิตเลยดีขึ้นจริงๆ คนที่ไม่มีความเชื่อก็ท้อแท้ตอนที่มองไม่เห็นทาง สุดท้ายล้มเหลวไปจริงๆ
ความเชื่อในรักแท้อาจจะทำให้เรามองหารักแท้มากกว่าคนที่ไม่เชื่อ แม้ว่าจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่คนที่เชื่ออาจจะมองหาคนที่ใช่ เปิดใจให้กับคนที่เข้ามาในชีวิต พยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
ทั้งๆที่สิ่งที่เราเชื่อจริงหรือเปล่า?? ไม่มีใครรู้ครับ
ความเชื่อ กับ ความจริง ... อาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
เมื่อมีข้อมูล, หลักฐาน, ความเชื่อได้รับการพิสูจน์ ความเชื่อจะไม่ใช่ความเชื่อจะกลายเป็นความจริงทันที (ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์ว่าความเชื่อถูกหรือผิดก็ตาม) แต่ตราบใดที่เรายังไม่รู้ ความเชื่อจะยังคงเป็นความเชื่อต่อไป
ในการลงทุนเราต้องแยกความเชื่อกับความจริง ข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นให้ได้ (Fact vs Opinion) ไม่อย่างนั้นเราจะตกอยู่ในโลกของมายาที่เราสร้างขึ้นเองด้วยอคติ (Bias) ของเรา
เช่น...ถ้าเราเชื่อว่าหุ้น A จะเป็น super stock ตัวใหม่ เราจะต้องหาข้อมูลทั้งในด้านที่สนับสนุนและขัดแย้ง แล้วนำมาวิเคราะห์ทั้งโอกาสและความเสี่ยง รวมถึงให้คนอื่นช่วยประเมินเพื่อลดอคติของความชอบความชังของเราลงไป เพื่อให้ได้ภาพที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
ในเรื่องของการลงทุนที่ไม่มีความแน่นอน เป็นการมองไปยังอนาคตที่ไม่มีใครสักคนในโลกล่วงรู้ โลกของการลงทุนยิ่งเต็มไปด้วยความเชื่อมากมาย
“คุณมีความเชื่ออะไรในการลงทุน??”
ในโอกาสที่ผมลงทุนมากว่า 3 ปี ผมขอแชร์ความเชื่อของผมในเรื่องการลงทุนนะครับ
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
รู้จักและเข้าใจตนเองก่อนลงทุน
เวลาที่มือใหม่ที่สนใจลงทุนในหุ้นเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆมักจะมองดูคนที่ประสบความสำเร็จว่าใช้วิธีใดบ้าง เพื่อจะได้ทำตามแล้วประสบความสำเร็จเหมือนกัน พอมือใหม่เห็นว่านักเก็งกำไรชั้นเซียนทำเงินได้มากมายก็ลองไปเล่นแบบเก็งกำไรแล้วก็ขาดทุนหนักเพราะไม่รู้จังหวะเข้าออก แล้วพอเห็นว่านักลงทุนกลุ่ม Value investor ชั้นเซียนทำกำไรได้มากมายก็ไปลองเล่นแบบ VI แต่เนื่องจากวิเคราะห์หุ้นไม่เป็นและซื้อที่ราคาแพงหรือซื้อตามเซียนทำให้ขาดทุนหนัก
นักลงทุนที่มองหาสูตรสำเร็จด้านการลงทุนว่าจะต้องทำ 1-2-3-4 แล้วประสบความสำเร็จแบบแน่นอน ผมบอกได้เลยครับว่า”ไม่มี” เพราะเมื่อคุณก้าวออกมาจากโลกแห่งความมั่นคงของดอกเบี้ยเงินฝาก (กรณีที่รัฐยังคุ้มครองอยู่) คุณจะต้องพบกับความเสี่ยง ไม่ว่าคุณจะลงทุนทำธุรกิจด้วยตนเองหรือเป็นนักลงทุนในทรัพย์สินประเภทใดๆก็ตาม นั่นคือคุณมีโอกาสขาดทุนหรือเจ๊งได้
แต่ความเสี่ยงไม่ใช่สิ่งที่จะหยุดยั้งเราจากความสำเร็จครับ
การบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทน (Risk/Reward) อย่างเหมาะสมจะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จได้ ...แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ? การเรียนรู้จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จเป็นสิ่งจำเป็นครับ แต่การทำตามแนวทางการลงทุนของเซียนโดยไม่รู้จักตนเองเลยนั้น ก็เหมือนกับการเลือกอาวุธที่ไม่เหมาะสมกับตนเองออกไปสู้ ...อาวุธ เช่น ดาบคู่ อาจจะเป็นยอดศาสตราเมื่ออยู่ในมือยอดนักรบอย่างมูซาชิ แต่ถ้าดาบคู่เล่มเดียวกันอยู่ในมือของทหารเลวคงไม่สามารถสำแดงพลังออกมาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าดาบคู่ไม่ใช่อาวุธที่ดี
การเข้าใจความสามารถ ความถนัดของตนเอง เลือกอาวุธที่เหมาะสมกับตนเอง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อนักรบที่จะก้าวสู่สนามรบที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับสูงแล้วเป็นผู้ชนะได้ (หรืออย่างน้อยไม่แพ้ เอาตัวรอดได้)
นักเก็งกำไรชั้นเซียนระบบการเทรดยังไม่เหมือนกัน บางคนดู MACD บางคนดู RSI บางคนดู indicator ของตนเอง นักเก็งกำไรบางคนดูข่าวควบคู่ไปด้วย บางคนดูแต่กราฟไม่ดูพื้นฐานเลย (จริงๆ ผมก็ยังไม่ถ่องแท้เรื่องการเทรดเท่าไรนักนะครับแค่ยกตัวอย่างให้ฟัง) ...นักลงทุนเน้นคุณค่าเองก็มีแนวทางและความถนัดในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น บางคนชอบหุ้นโภคภัณฑ์ บางคนชอบหุ้นเติบโต บางคนถือแต่หุ้นสุดยอด (Super stock) บางคนดูทั้งพื้นฐานหุ้นและดูกราฟประกอบไปด้วย บางคนไม่ใช้กราฟเลย บางคนเล่นรายไตรมาส รายปี ขณะที่บางคนดูยาวไป 5 ปี ฯลฯ
ดังนั้นความเข้าใจตนเองของนักลงทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเลือกแนวทางการลงทุนของตนเองเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ผมเองสอนมือใหม่มาหลายรุ่น นักเรียนแต่ละคนผมก็ไม่เคยบอกว่าจะต้องทำแบบผมนะ ต้องลงทุนในหุ้นเติบโตแล้วถือยาวๆถึงจะดีนะ บางคนดูแววแล้วน่าจะเป็นนักเก็งกำไรที่ดีได้ผมก็แนะนำแนวทางเก็งกำไรไป แต่ผมสอนรายละเอียดไม่ได้เพราะผมไม่ถนัดเก็งกำไร ผมสอนแต่สิ่งที่ผมเข้าใจและเชื่อมั่นเท่านั้น
ในการทำความเข้าใจตนเองนั้น ประเด็นที่ต้องสังเกตผมว่ามีดังนี้ครับ
นักลงทุนที่มองหาสูตรสำเร็จด้านการลงทุนว่าจะต้องทำ 1-2-3-4 แล้วประสบความสำเร็จแบบแน่นอน ผมบอกได้เลยครับว่า”ไม่มี” เพราะเมื่อคุณก้าวออกมาจากโลกแห่งความมั่นคงของดอกเบี้ยเงินฝาก (กรณีที่รัฐยังคุ้มครองอยู่) คุณจะต้องพบกับความเสี่ยง ไม่ว่าคุณจะลงทุนทำธุรกิจด้วยตนเองหรือเป็นนักลงทุนในทรัพย์สินประเภทใดๆก็ตาม นั่นคือคุณมีโอกาสขาดทุนหรือเจ๊งได้
แต่ความเสี่ยงไม่ใช่สิ่งที่จะหยุดยั้งเราจากความสำเร็จครับ
การบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทน (Risk/Reward) อย่างเหมาะสมจะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จได้ ...แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ? การเรียนรู้จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จเป็นสิ่งจำเป็นครับ แต่การทำตามแนวทางการลงทุนของเซียนโดยไม่รู้จักตนเองเลยนั้น ก็เหมือนกับการเลือกอาวุธที่ไม่เหมาะสมกับตนเองออกไปสู้ ...อาวุธ เช่น ดาบคู่ อาจจะเป็นยอดศาสตราเมื่ออยู่ในมือยอดนักรบอย่างมูซาชิ แต่ถ้าดาบคู่เล่มเดียวกันอยู่ในมือของทหารเลวคงไม่สามารถสำแดงพลังออกมาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าดาบคู่ไม่ใช่อาวุธที่ดี
การเข้าใจความสามารถ ความถนัดของตนเอง เลือกอาวุธที่เหมาะสมกับตนเอง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อนักรบที่จะก้าวสู่สนามรบที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับสูงแล้วเป็นผู้ชนะได้ (หรืออย่างน้อยไม่แพ้ เอาตัวรอดได้)
นักเก็งกำไรชั้นเซียนระบบการเทรดยังไม่เหมือนกัน บางคนดู MACD บางคนดู RSI บางคนดู indicator ของตนเอง นักเก็งกำไรบางคนดูข่าวควบคู่ไปด้วย บางคนดูแต่กราฟไม่ดูพื้นฐานเลย (จริงๆ ผมก็ยังไม่ถ่องแท้เรื่องการเทรดเท่าไรนักนะครับแค่ยกตัวอย่างให้ฟัง) ...นักลงทุนเน้นคุณค่าเองก็มีแนวทางและความถนัดในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น บางคนชอบหุ้นโภคภัณฑ์ บางคนชอบหุ้นเติบโต บางคนถือแต่หุ้นสุดยอด (Super stock) บางคนดูทั้งพื้นฐานหุ้นและดูกราฟประกอบไปด้วย บางคนไม่ใช้กราฟเลย บางคนเล่นรายไตรมาส รายปี ขณะที่บางคนดูยาวไป 5 ปี ฯลฯ
ดังนั้นความเข้าใจตนเองของนักลงทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเลือกแนวทางการลงทุนของตนเองเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ผมเองสอนมือใหม่มาหลายรุ่น นักเรียนแต่ละคนผมก็ไม่เคยบอกว่าจะต้องทำแบบผมนะ ต้องลงทุนในหุ้นเติบโตแล้วถือยาวๆถึงจะดีนะ บางคนดูแววแล้วน่าจะเป็นนักเก็งกำไรที่ดีได้ผมก็แนะนำแนวทางเก็งกำไรไป แต่ผมสอนรายละเอียดไม่ได้เพราะผมไม่ถนัดเก็งกำไร ผมสอนแต่สิ่งที่ผมเข้าใจและเชื่อมั่นเท่านั้น
ในการทำความเข้าใจตนเองนั้น ประเด็นที่ต้องสังเกตผมว่ามีดังนี้ครับ
วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
กลยุทธ์ลดน้ำหนัก
(บทความนี้ไม่เกี่ยวกับการลงทุน เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองครับ)
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีประสบการณ์ตั้งใจลดน้ำหนัก...อาจจะสำเร็จหรือล้มเหลวปะปนกันไป
ผมเองเป็นคนนึงที่เคยพยายามลดน้ำหนักหลายครั้ง...เคยลดได้ทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนไปซัมเมอร์ที่แคนาดา ลดได้ 6-7 kgs ครั้งที่2 ตอนทำงานที่รพ.แวงน้อยตอนไปใช้ทุน ลดได้ 5-6 kgs แต่ก็กลับมาอ้วนเหมือนเดิมและอ้วนกว่าเดิมด้วย...
น้ำหนักตัวเท่าไรถึงเหมาะสม?
ก่อนอื่นเราต้องหาน้ำหนักที่เหมาะสมกับแต่ละคนก่อน...โดยดูจาก BMI (Body Mass Index) คือ ดัชนีมวลกาย ถ้าค่าBMI มากกว่า 25 ถือว่าน้ำหนักเกินแล้ว ถ้าค่า BMI 18.5-25 ถือว่าโอเค ถ้าค่า BMI น้อยกว่า 18.5 ถือว่าผอม น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
โดย BMI = น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง
เขียนเป็นสูตร BMI = (Body weight-Kg)/(Height-m)²
เช่น ตอนนี้ผมน้ำหนัก 73 กิโลกรัม สูง 1.65 เมตร จะได้ดัชนีมวลกาย 26 ซึ่งถือว่าน้ำหนักเกิน
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีประสบการณ์ตั้งใจลดน้ำหนัก...อาจจะสำเร็จหรือล้มเหลวปะปนกันไป
ผมเองเป็นคนนึงที่เคยพยายามลดน้ำหนักหลายครั้ง...เคยลดได้ทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนไปซัมเมอร์ที่แคนาดา ลดได้ 6-7 kgs ครั้งที่2 ตอนทำงานที่รพ.แวงน้อยตอนไปใช้ทุน ลดได้ 5-6 kgs แต่ก็กลับมาอ้วนเหมือนเดิมและอ้วนกว่าเดิมด้วย...
น้ำหนักตัวเท่าไรถึงเหมาะสม?
ก่อนอื่นเราต้องหาน้ำหนักที่เหมาะสมกับแต่ละคนก่อน...โดยดูจาก BMI (Body Mass Index) คือ ดัชนีมวลกาย ถ้าค่าBMI มากกว่า 25 ถือว่าน้ำหนักเกินแล้ว ถ้าค่า BMI 18.5-25 ถือว่าโอเค ถ้าค่า BMI น้อยกว่า 18.5 ถือว่าผอม น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
โดย BMI = น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง
เขียนเป็นสูตร BMI = (Body weight-Kg)/(Height-m)²
เช่น ตอนนี้ผมน้ำหนัก 73 กิโลกรัม สูง 1.65 เมตร จะได้ดัชนีมวลกาย 26 ซึ่งถือว่าน้ำหนักเกิน
วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554
ผู้ชายที่แท้จริง
(เอาบทความเก่ามาลงครับ^^)
แรงบันดาลใจของการเขียนบทความนี้มาจาก...เวลาที่ผมเจอผู้ชายที่มองว่าตัวเองไม่มีค่า...ขาดเธอไปฉันจะอยู่ไม่ได้ฉันจะต้องตาย...นี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกพวกเค้าเหล่านั้น...
โลกเราตอนนี้ประชากรผู้ชายเริ่มน้อยกว่าผู้หญิง(ยกเว้นเมืองจีน) เพศชายบางส่วนก็กลายเป็นเกย์ชอบเพศเดียวกัน บ้างก็เสร็จเกย์ไป ผู้ชายจึงเหลือน้อยเต็มที...และผู้ชายมีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและพัฒนาตนเองจนกลายเป็น...ผู้ชายที่แท้จริงนั้น ผู้ชายที่เป็นชายเหนือชายที่หาได้ยากมากๆในปัจจุบัน...
จะก้มหน้ามองพื้นแล้วโทษชะตาหรือเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วตะโกนบอกว่า ”ฉันคือคนที่มีค่าที่สุด”...คนที่เลือกคือตัวเรา
พร้อมที่จะพัฒนาตัวเองหรือยังครับ?
ลักษณะของผู้ชายที่แท้จริง
แรงบันดาลใจของการเขียนบทความนี้มาจาก...เวลาที่ผมเจอผู้ชายที่มองว่าตัวเองไม่มีค่า...ขาดเธอไปฉันจะอยู่ไม่ได้ฉันจะต้องตาย...นี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกพวกเค้าเหล่านั้น...
โลกเราตอนนี้ประชากรผู้ชายเริ่มน้อยกว่าผู้หญิง(ยกเว้นเมืองจีน) เพศชายบางส่วนก็กลายเป็นเกย์ชอบเพศเดียวกัน บ้างก็เสร็จเกย์ไป ผู้ชายจึงเหลือน้อยเต็มที...และผู้ชายมีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและพัฒนาตนเองจนกลายเป็น...ผู้ชายที่แท้จริงนั้น ผู้ชายที่เป็นชายเหนือชายที่หาได้ยากมากๆในปัจจุบัน...
จะก้มหน้ามองพื้นแล้วโทษชะตาหรือเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วตะโกนบอกว่า ”ฉันคือคนที่มีค่าที่สุด”...คนที่เลือกคือตัวเรา
พร้อมที่จะพัฒนาตัวเองหรือยังครับ?
ลักษณะของผู้ชายที่แท้จริง
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554
ข้ออ้างที่จะไม่ยอมประสบความสำเร็จ
ฟังหัวข้อแล้วดูแปลกใช่ใหมครับ ก็ใครล่ะจะไม่อยากประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่ก็อยากประสบความสำเร็จกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน ความรัก ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การมีความสุข และถามว่าคนทั่วไปรู้มั๊ยว่าทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ เช่น อยากเรียนเก่ง ทุกคนก็รู้ว่าต้องขยันอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนในห้อง หมั่นทบทวนบทเรียน ฝึกทำข้อสอบ แต่ทำไมคนส่วนมากจึงไม่ประสบความสำเร็จการเรียนเท่าที่ควร หรืออยากผอม อยากหุ่นดี ทุกคนก็รู้ว่าต้องควบคุมอาหารให้พอเหมาะและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่เราก็ยังเห็นคนส่วนใหญ่ล้มเหลวเรื่องการลดน้ำหนัก (รวมทั้งผมด้วย T_T)
นั่นเป็นเพราะว่า เรารู้...แต่เราทำไม่ได้!!! เนื่องจากเหตุผลบางอย่างที่เราชอบใช้เป็นข้ออ้าง ยกตัวอย่างเช่น...กรณีลดน้ำหนัก ”ช่วงนี้ทำงานหนักก็เลยหิวบ่อย” “ไม่มีเวลาออกกำลังเลย” “ขอกินก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยลด” “ออกกำลังแล้วเหนื่อยทำงานไม่ไหว” “ไม่ได้กินแล้วไม่แรงเลย” สารพัดเรื่องที่เราจะหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงทำไม่ได้ตามแผนที่วางไว้...หรือที่แย่กว่านั้นคือไม่ได้วางแผนไว้เลยตั้งแต่ต้น >_<”
ในเรื่องการลงทุนก็มีข้ออ้างมากมายเช่นกัน...
ด้วยความที่ผมสอนเรื่องการลงทุนให้กับมือใหม่หลายครั้งและพูดคุยกับคนนอกตลาดที่ไม่ได้ลงทุนหลายๆคน จะพบว่ามีความเชื่อหลายๆอย่างที่ผมคิดว่าเป็นอุปสรรคของการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
ข้ออ้างที่คนส่วนใหญ่ใช้เพื่อจะบอกว่าทำไมตัวเองลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ
นั่นเป็นเพราะว่า เรารู้...แต่เราทำไม่ได้!!! เนื่องจากเหตุผลบางอย่างที่เราชอบใช้เป็นข้ออ้าง ยกตัวอย่างเช่น...กรณีลดน้ำหนัก ”ช่วงนี้ทำงานหนักก็เลยหิวบ่อย” “ไม่มีเวลาออกกำลังเลย” “ขอกินก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยลด” “ออกกำลังแล้วเหนื่อยทำงานไม่ไหว” “ไม่ได้กินแล้วไม่แรงเลย” สารพัดเรื่องที่เราจะหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงทำไม่ได้ตามแผนที่วางไว้...หรือที่แย่กว่านั้นคือไม่ได้วางแผนไว้เลยตั้งแต่ต้น >_<”
ในเรื่องการลงทุนก็มีข้ออ้างมากมายเช่นกัน...
ด้วยความที่ผมสอนเรื่องการลงทุนให้กับมือใหม่หลายครั้งและพูดคุยกับคนนอกตลาดที่ไม่ได้ลงทุนหลายๆคน จะพบว่ามีความเชื่อหลายๆอย่างที่ผมคิดว่าเป็นอุปสรรคของการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
ข้ออ้างที่คนส่วนใหญ่ใช้เพื่อจะบอกว่าทำไมตัวเองลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)