บทความนี้จะพูดถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในเรื่องการขนส่ง (transportation) เน้นเรื่องรถยนต์เป็นหลัก มุมมองต่อรถยนต์ในส่วนที่เป็นอุปสรรคต่อความมั่งคั่ง การเลือกซื้อรถยนต์ที่คุ้มค่า ความเข้าใจอุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่งที่นำไปสู่การลงทุนในหุ้นเติบโตที่เกี่ยวข้อง
การเดินทางทุกวันนี้แม้ว่าจะมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีขึ้น เช่น รถไฟฟ้า เครื่องบิน (กรณีรถเมล์แดง รถไฟผมขอไม่นับเพราะถือว่ายังอันตรายและไม่ได้มาตราฐานสำหรับเมืองไทย สังเกตได้จากข่าวอุบัติเหตุที่สื่อนำเสนอบ่อยๆ) ผู้คนโดยเฉพาะในเมืองหลวงหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนที่ได้มาตราฐานมากขึ้นเช่น รถไฟฟ้า เพราะประหยัดและเดินทางสะดวกกว่า แต่สำหรับคนที่มีครอบครัว คนที่เดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ การมีรถยนต์เป็นของตัวเองอาจจะสะดวกกว่าและเป็นอิสระกว่าการใช้ขนส่งมวลชนไปเรื่อยๆ ยังไม่รวมถึงคนที่ต้องการมีรถยนต์เพื่อความโก้หรูให้ผู้คนชื่นชม ดังนั้นการซื้อรถยนต์จึงเป็นความต้องการที่ไม่เคยหมดไป แม้ว่าความต้องการจะดูมีวัฏจักรการขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีคนที่มีความต้องการรถจะชะลอการซื้อรถออกไปก่อน เมื่อเศรษฐกิจดีผู้คนมั่นใจในความมั่นคงของงานและรายได้ของตนเอง การจับจ่ายใช้สอยในสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างรถยนต์จะเริ่มตามมา
ผมเองไม่เคยซื้อรถยนต์เลยตั้งแต่เริ่มทำงาน โดยผมใช้การบริการขนส่งมวลชนมาตลอด เช่น เครื่องบิน รถทัวร์ รถไฟฟ้า นั่นทำให้ผมเก็บเงินได้ แทนที่ผมจะเอาไปซื้อรถและต้องมีหนี้สินในการผ่อนรถยนต์ ผมได้มีเงินออมไปลงทุน...ซึ่งการลงทุนช่วงแรกของการทำงานจะเป็นการลงทุนในเงินฝากประจำและพันธบัตรรัฐบาลเนื่องจากยังมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ...การออมทำให้ผมมีความพร้อมในเรื่องเงินลงทุนเมื่อตลาดหุ้นตกอย่างหนักปี 2008 แม้ว่าจะยังไม่มีความพร้อมเรื่องความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนก็ตาม
ปัจจัยเรื่องการไม่ซื้อรถยนต์ใหม่ด้วยเงินผ่อนตั้งแต่ช่วงแรกของการทำงานและนำเงินที่ได้จากการทำงานมาเก็บออมน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ระดับสินทรัพย์ของผมต่างจากคนทั่วไปที่อายุพอๆกัน และเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันที่ทำงานพร้อมๆกัน เพราะผมแทบไม่มีแต้มต่อคนอื่นในเรื่องของรายได้เลย รายได้เท่าคนอื่นหรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ทำงานพิเศษ ผมไม่ได้มีอาชีพเสริม ผมทำงานรับราชการธรรมดาๆ ... สิ่งที่แตกต่างคือรายจ่าย ผมประหยัดมากกว่าคนอื่น