บทความนี้จะพูดถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในเรื่องการขนส่ง (transportation) เน้นเรื่องรถยนต์เป็นหลัก มุมมองต่อรถยนต์ในส่วนที่เป็นอุปสรรคต่อความมั่งคั่ง การเลือกซื้อรถยนต์ที่คุ้มค่า ความเข้าใจอุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่งที่นำไปสู่การลงทุนในหุ้นเติบโตที่เกี่ยวข้อง
การเดินทางทุกวันนี้แม้ว่าจะมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีขึ้น เช่น รถไฟฟ้า เครื่องบิน (กรณีรถเมล์แดง รถไฟผมขอไม่นับเพราะถือว่ายังอันตรายและไม่ได้มาตราฐานสำหรับเมืองไทย สังเกตได้จากข่าวอุบัติเหตุที่สื่อนำเสนอบ่อยๆ) ผู้คนโดยเฉพาะในเมืองหลวงหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนที่ได้มาตราฐานมากขึ้นเช่น รถไฟฟ้า เพราะประหยัดและเดินทางสะดวกกว่า แต่สำหรับคนที่มีครอบครัว คนที่เดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ การมีรถยนต์เป็นของตัวเองอาจจะสะดวกกว่าและเป็นอิสระกว่าการใช้ขนส่งมวลชนไปเรื่อยๆ ยังไม่รวมถึงคนที่ต้องการมีรถยนต์เพื่อความโก้หรูให้ผู้คนชื่นชม ดังนั้นการซื้อรถยนต์จึงเป็นความต้องการที่ไม่เคยหมดไป แม้ว่าความต้องการจะดูมีวัฏจักรการขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีคนที่มีความต้องการรถจะชะลอการซื้อรถออกไปก่อน เมื่อเศรษฐกิจดีผู้คนมั่นใจในความมั่นคงของงานและรายได้ของตนเอง การจับจ่ายใช้สอยในสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างรถยนต์จะเริ่มตามมา
ผมเองไม่เคยซื้อรถยนต์เลยตั้งแต่เริ่มทำงาน โดยผมใช้การบริการขนส่งมวลชนมาตลอด เช่น เครื่องบิน รถทัวร์ รถไฟฟ้า นั่นทำให้ผมเก็บเงินได้ แทนที่ผมจะเอาไปซื้อรถและต้องมีหนี้สินในการผ่อนรถยนต์ ผมได้มีเงินออมไปลงทุน...ซึ่งการลงทุนช่วงแรกของการทำงานจะเป็นการลงทุนในเงินฝากประจำและพันธบัตรรัฐบาลเนื่องจากยังมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ...การออมทำให้ผมมีความพร้อมในเรื่องเงินลงทุนเมื่อตลาดหุ้นตกอย่างหนักปี 2008 แม้ว่าจะยังไม่มีความพร้อมเรื่องความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนก็ตาม
ปัจจัยเรื่องการไม่ซื้อรถยนต์ใหม่ด้วยเงินผ่อนตั้งแต่ช่วงแรกของการทำงานและนำเงินที่ได้จากการทำงานมาเก็บออมน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ระดับสินทรัพย์ของผมต่างจากคนทั่วไปที่อายุพอๆกัน และเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันที่ทำงานพร้อมๆกัน เพราะผมแทบไม่มีแต้มต่อคนอื่นในเรื่องของรายได้เลย รายได้เท่าคนอื่นหรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ทำงานพิเศษ ผมไม่ได้มีอาชีพเสริม ผมทำงานรับราชการธรรมดาๆ ... สิ่งที่แตกต่างคือรายจ่าย ผมประหยัดมากกว่าคนอื่น
รถยนต์ในมุมมองของความอุปสรรคต่อความมั่งคั่ง
หลายคนตั้งแต่เริ่มทำงาน พอได้เงินเดือนเดือนแรกจะรีบเอาไปซื้อของที่อยากได้มานานทันที เช่น รถยนต์ การที่ไม่มีเงินก้อนตั้งแต่แรกจึงต้องใช้วิธีการผ่อนชำระ ทำให้เกิดหนี้สิน ซึ่งหมายถึงการดึงเงินสดออกไป ดังนี้ 1. ค่าเสียโอกาสเอาเงินก้อนนั้นไปทำให้ผลตอบแทนงอกเงย เช่น การซื้อพันธบัตรที่ได้ผลตอบแทนที่แน่นอน 2. ค่าเสื่อมราคา รถยนต์ซื้อมาราคาจะตกลงทันทีตั้งแต่ถอยจากโชว์รูม รถยนต์จึงไม่ใช่การลงทุนเหมือนการซื้อที่ดิน ทองคำ นาฬิกายี่ห้อดัง ...ที่มูลค่าสามารถเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป 3. ค่าน้ำมัน ยิ่งยุคนี้น้ำมันแพงมาก ทำให้การขับรถมีต้นทุนค่าน้ำมันแพง 4. การซื้อประกันภัยรถยนต์ที่ต้องซื้อและจ่ายเบี้ยประกันตามกฏหมาย เป็นต้น
รถยนต์ในมุมมองของมูลค่าความโก้หรู?
หลายคนชอบคิดว่าคนรวยจะต้องใช้รถราคาแพง เพื่อให้ดูดีมีฐานะ แม้ไม่ได้รวยก็พยายามซื้อรถราคาแพงเพื่อให้ตนเองดูมีฐานะ ผู้คนจะได้ยกย่องนับถือ จะได้จีบสาวติดง่ายขึ้น (ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ผมแย้งได้ว่า การถูกยกย่องที่สิ่งของภายนอกนั้นจอมปลอมมาก ส่วนผู้หญิงที่มองแต่สินทรัพย์ภายนอกนั้นยิ่งไม่น่าสนใจ - มุมมองของผมนะครับ) แต่หลายคนอาจจะซื้อรถยนต์ราคาแพงมาด้วยเงินผ่อน หรืออาจจะซื้อเป็นรถมือสอง ขอแค่ให้ได้ชื่อว่าขับ Benz BMW ผ่อนไปซักพักก็ต้องเลิกผ่อนเพราะผ่อนไม่ไหว คนที่เห็นภายนอกอาจจะแยกยากว่า...นี่คือเศรษฐีตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ มีแต่คนที่ใช้เท่านั้นที่รู้ตัวเองดีที่สุด
มหาเศรษฐี"ตัวจริง"นั้นไม่จำเป็นต้องขับรถยนต์หรูๆ พวก Benz BMW หรือพวก Super car แต่อย่างใด ...อย่าง Sam Walton อดีตมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ขับรถปิคอัพไหนมาไหนเอง ทั้งที่คนส่วนใหญ่มองว่าถปิคอัพเป็นรถของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน ปู่ Warren Buffet มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลกในปัจจุบัน ยังใช้รถยนต์ Cadillac คันเก่าขับไปไหนมาไหนด้วยตนเอง
คนรวย-ไม่รวย วัดจากขนาดสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสด (ด้านการเงิน) หรือยิ่งกว่านั้นวัดจากขนาดน้ำใจที่เขามอบให้กับครอบครัว คนรอบข้างและสังคม (ด้านจิตใจ)
รถยนต์ในมุมมองของค่าเสียโอกาส
การใช้เงินออมไปซื้อรถยนต์ที่นับวันจะเสื่อมค่าไปตามเวลานั้น ทำให้เสียโอกาสที่จะเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนเพื่อให้ใด้ผลตอบแทนงอกเงย เช่น นาย A อยากได้รถยนต์ราคา 1 ล้านบาท จะดาวน์และผ่อนรถต้องใช้ความพยายามทำงานนอกเวลามากขึ้นเพื่อหาเงินเพิ่ม กู้แบงค์ตามระบบ รวมถึงอาจจะกู้เงินนอกระบบ เพื่อให้ได้รถราคา 1 ล้านบาทซึ่งในอีก 10 ข้างหน้าอาจจะเหลือราคาแค่ 200,000 บาท เงินหายไป 800,000 บาท ไม่รวมรายจ่ายที่พ่วงมาด้วย...เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบ นอกระบบ ไม่รวมค่าประกันภัย ค่าน้ำมันในช่วงที่ใช้งาน .... ส่วนนาย B ไม่ใช้รถยนต์ โหนรถเมล์ รถไฟฟ้าแล้วเอาเงินมาลงทุนในกองทุนที่ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 10% ต่อปี พอร์ต 1 ล้านในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเท่ากับ 2 ล้าน 6 แสนบาท และมูลค่ามากกว่าเอาเงินไปซื้อรถยนต์ถึง ( 2 ล้าน 6 แสน - 2 แสนบาท = ) 2 ล้าน 4 แสนบาท ในช่วงเวลา 10 ปี นั่นคือมูลค่าของการใช้รถยนต์ ค่าเสียโอกาสในการเองเงินไปลงทุนให้งอกเงย
แต่แน่นอนว่าความจำเป็นต่อการใช้รถยนต์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน แม้ว่าจะตัดประเด็นเรื่องความโก้หรูออกไปแล้ว ยังมีคนที่จำเป็นจะต้องใช้รถยนต์จริงๆ
บางคนจำเป็นต้องใช้รถยนต์เพราะอยู่ในที่ที่การขนส่งมวลชนไม่ดี เช่น ต่างจังหวัดไกลๆ, เพราะมีลูกผู้หญิงในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบตัว ต้องขับรถส่งลูกไปเรียน, เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวให้ครอบครัว, หรือเพราะต้องทำงานด้านการขนส่งหรือต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ
และอีกหลายๆเหตุผลที่ทำให้รถยนต์ยังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทั้งในปัจจุบันและต่อเนื่องไปยังอนาคต
ถ้าเราหลีกเลี่ยงความจำเป็นที่ต้องใช้รถยนต์ไม่ได้แม้ว่าจะรู้ว่ารถยนต์เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ต่อความมั่งคั่งและการลงทุนในช่วงเริ่มต้นที่พอร์ตเรายังไม่ใหญ่เราจะทำอย่างไรดี?
การเลือกซื้อรถยนต์ที่คุ้มค่า
ผมคิดว่าการซื้อรถยนต์ที่ไม่แพงน่าจะเป็นคำตอบ เช่น รถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดน้ำมัน ช่วงนี้ผมเองวางแผนจะซื้อรถคันแรกหลังจากที่ทำงานมานาน 7 ปี รถคันแรกที่จะซื้อคือ ECO Car (ตอนนี้ดู Mirage อยู่ครับ) ที่ซื้อ ECO Car เพราะว่า
1. ประหยัดน้ำมันมากกว่า...จะลดรายจ่ายเรื่องค่าน้ำมันลงได้มากกว่ารถใหญ่ราคาแพง
2. การซื้อรถที่ราคาไม่แพงจะให้ให้ต้นทุนตั้งต้นที่คิดค่าเสื่อมราคาน้อยลงไปอีก
ผมจะแสดงการคิดค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง (Straight line method) โดยมีวิธีการคิดดังนี้
สมมุติแทนค่าเหล่านี้ลงในสูตรการคิดค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง
ค่าเสื่อมราคา (Depreciation expenses) ต่อปี = D
ราคาทุนของรถยนต์ที่เราซื้อมา (Cost) = C
อายุการใช้งาน (Time) = T
ราคาซาก (Salvage value) = S (ราคาที่ขายรถยนต์โดยหมดอายุการใช้งาน หรืออาจจะคิดเป็นราคาขายรถยนต์มือสองเมื่อเวลาผ่านไป T ปี)
สูตร D = (C - S)/T
(หมายเหตุ - สามารถนำสูตรการคิดค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรงนี้ไปใช้คิดและทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ของบริษัท เช่น เครื่องจักร อาคารสิ่งก่อสร้างได้ด้วยนะครับ แต่สินทรัพย์บางอย่างจะไม่มีการหักค่าเสื่อม เช่น ที่ดิน เป็นต้นครับ ไว้ผมจะเขียนอีกทีในบทความที่เกี่ยวข้องกับการประเมินงบการเงินครับ)
ผมขอแบ่งเป็น 2 กรณีนะครับ (ตัวเลขสมมุติทั้งหมดนะครับ)
ถ้าเราซื้อรถราคา 5 ล้าน อายุการใช้งาน 5 ปี ราคามือสอง 1,000,000 บาท ค่าเสื่อมราคาต่อปีคือ 800,000 บาทต่อปี
แต่ถ้าเราซื้อรถราคา 500,000 บาท อายุการใช้งาน 5 ปี ราคามือสอง 100,000 บาท ค่าเสื่อมราคาต่อปีคือ 80,000 บาทต่อปี
จะเห็นได้ว่าราคารถยนต์ที่เราซื้อมายิ่งแพงยิ่งเพิ่มค่าเสื่อมราคาซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นเป็นมูลค่ามาก ซึ่งถ้าเราซื้อรถยนต์ที่ราคาไม่แพง เราสามารถนำเงินออมที่เหลือไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนงอกเงยได้อีกด้วยครับ
3. ช่วงนี้รถยนต์ขนาดเล็กได้รับการลดหย่อนภาษีจากนโยบายรัฐบาล ราคายิ่งถูกลงไปอีก
ส่วนเรื่องการซื้อรถยนต์ใช้เงินสดหรือเงินผ่อนดี? โดยส่วนตัวผมชอบซื้อเงินสดและผมมองว่าการซื้อของฟุ่มเฟือยควรซื้อด้วยเงินจำนวนที่น้อยกว่า 3-5% ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มีอยู่ (อาจจะใช้ตัวเลข 10%) เพื่อไม่ให้กระทบต่อพอร์ตการลงทุนโดยรวมครับ แต่การใช้เงินกู้ซื้อรถยนต์อาจจะกระทำได้ถ้าพิจารณาว่าเอาเงินไปลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าที่ต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ให้ธนาคารครับ แต่นิสัยผมไม่ชอบเป็นหนี้เลยไม่ซื้อของเงินผ่อนเลยครับ
พฤติกรรมผู้บริโภคในการเดินทางและการขนส่ง
การเดินทางและการขนส่งจะใช้ 3 ทางหลักคือ ทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ยานพาหนะที่ใช้คือ รถยนต์ รถไฟ เรือ และเครื่องบิน ในภาพรวมของประเทศไทยใช้รถยนต์เป็นหลักในการเดินทางและการขนส่งภายในประเทศ
การเดินทางทางบก - เนื่องจากรถไฟค่อนข้างล้าหลังเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งในต่างประเทศจะใช้รถไฟเป็นหลักในการขนส่งสินค้าและเดินทางโดยเฉพาะช่วงที่ประเทศมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและพื้นที่แต่ละเมืองห่างไกลกันมาก เช่น อเมริกา หรือออสเตรเลีย ทำให้ประเทศไทยมีการเดินทางในประเทศจำกัดที่การใช้รถยนต์ ผู้คนเดินทางข้ามจังหวัด..ข้ามภาคโดยใช้รถทัวร์ บริษัทเดินรถเกิดขึ้นมากมายเพื่อนำผู้โดยสารเดินทางระหว่างจังหวัด หลายบริษัทมีการเติบโตสูง เช่น นครชัยแอร์ และมีการสร้างถนนมากมายมารองรับความต้องการการใช้รถยนต์ที่ดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ถนนเพิ่มจาก 2 เลนสวนกันเป็นถนน 4 เลน รวมถึงการซ่อมถนนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจากการขนส่งสินค้าหนักมากจนถนนที่ไม่ค่อยมีคุณภาพรับไม่ไหว
การเดินทางทางอากาศ - ประเทศไทยเริ่มมีสายการบินต้นทุนต่ำเข้ามาให้บริการขนส่งผู้โดยสารข้ามจังหวัด..ข้ามภาค แม้ว่าระยะทางระหว่างจังหวัดถ้าประเทศไทยมีรถไฟความเร็วสูงจะใช้เวลาไม่นาน แต่ประเทศไทยมีรถยนต์เป็นหลักทำให้การเดินทางข้ามภาคใช้เวลานาน การเดินทางอากาศที่รวดเร็วจึงเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดได้และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
การเดินทางทางน้ำ - ประเทศไทยเป็นที่ราบลุ่มและที่ราบสูงมีพื้นที่ติดชายทะเล ดังนั้นการเดินทางโดยสารและขนส่งทางเรือจะเป็นการเดินทางขนส่งระหว่างประเทศ ไม่ค่อยมีการเดินทางและขนส่งภายในประเทศมากนัก ยกเว้นบางจังหวัดที่มีแม่น้ำสายยาวๆพาดผ่านอาจจะมีการเดินทางข้ามจังหวัดทางเรือบ้าง
ผมจะลองแบ่งพฤติกรรมผู้บริโภคตามพื้นที่ดังนี้
- ในเมืองหลวง ... ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะใช้รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากรถติดมาก...คนเมืองมีทางเลือกที่สะดวกรวดเร็วกว่าจากการใช้รถไฟฟ้า ทำให้ประหยัดเวลาไปทำงานหรือไปทำอย่างอื่นได้อีกมาก รวมถึงค่าน้ำมันที่แพงขึ้นเรื่อยๆส่งผลให้คนเมืองหันมาใช้ขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อประหยัดรายจ่าย บางคนที่ใช้รถยนต์อาจจะหันมาใช้พลังงานอื่นๆเช่น ติดแก๊ส NGV LPG เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
- ต่างจังหวัด ... ผู้คนส่วนใหญ่จะใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่าเนื่องจากระบบขนส่งมวลชนไม่ดีนัก คนส่วนใหญ่ถ้าซื้อรถยนต์ได้มักจะเลือกซื้อรถยนต์มากกว่าที่จะเดินทางโดยใช้รถเมล์หรือรถสองแถวทุกวัน
สรุปว่า... 1. คนจะหันมาใช้รถยนต์ขนาดเล็กประหยัดน้ำมันมากขึ้น รถยนต์กลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโต เพราะน้ำมันแพงมาก 2. อุตสาหกรรมการบินในประเทศมีแนวโน้มเติบโต เพราะผู้โดยสารต้องการความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัด 3. รถไฟฟ้ามีแนวโน้มที่ผู้โดยสารจะมากขึ้น มีแนวโน้มเติบโตขึ้น เพราะมีมูลค่าเพิ่มที่ผู้บริโภคประหยัดเวลาที่ต้องไปรถติดบนถนน และประหยัดค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายหากว่าใช้รถส่วนตัว 4. อุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกมีแนวโน้มเติบโตขึ้น จากการที่น้ำมันแพงขึ้น
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถยนต์
หลังจากการมองภาพรวมของอุตสาหกรรมการขนส่ง ถ้านักลงทุนสนใจอุตสาหกรรมรถยนต์ ต้องไปตรวจสอบดูว่าขณะนี้การใช้รถยนต์ยังเป็นวัฎจักรขาขึ้นอยู่หรือไม่ และรถยนต์กลุ่มใดที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น
ขาขึ้นเมื่อใหร่...ดูอย่างไร?
มองจากเรื่อง Demand - Supply เป็นหลัก ความต้องการซื้อรถจะมาเมื่อ 1.คนที่ยังไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อนต้องการซื้อรถใหม่ เช่น คนกำลังมีครอบครัว คนวัยทำงานเริ่มมีเงินเก็บ 2.คนที่มีรถแล้วอยากเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ ขึ้นอยู่กับรอบว่าคนส่วนใหญ่ใช้รถเป็นเวลากี่ปี ผมคิดว่าน่าจะประมาณ 5 ปีขึ้นไป แล้วจึงซื้อรถใหม่ 3.คนมั่นใจในรายได้อนาคตของตนเอง พร้อมที่จะมีหนี้สินการผ่อนรถยนต์ โดยมากจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูรุ่งเรือง (อาจจะลองอ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง "สินค้าโภคภัณฑ์" เพื่อความเข้าในในเรื่องวัฎจักรครับ)
เวลาผมมองหาหุ้นเติบโต...ผมจะมองเป็นระบบ (Systemic approach) ไม่ใช่มองแค่สิ่งที่เราสนใจ...แต่มองเห็นความความสัมพันธ์ของอุตสาหกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อหาหุ้นเติบโตจากแนวโน้มของพฤติกรรมมนุษย์
ถ้ามองจากพฤติกรรมของการใช้รถยนต์จะมองอุตสาหกรรมได้ดังนี้ (ทั้งหมดเป็นการตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าคนมีแนวโน้มใช้รถยนต์สูงขึ้น ถ้าเป็นในช่วงขาลงจะต่างออกไปจากนี้ครับ)
1. บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
หลายบริษัทรถยนต์ outsource การผลิตออกไปเพื่อลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องจักร,คนงาน บริษัทผลิตชิ้นส่วนที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง เช่น สินค้าชิ้นส่วนมีการผลิตที่มีคุณภาพ มีการบริหารต้นทุนให้ต่ำ จะได้รับงานจากหลายบริษัทรถยนต์ ทำให้เติบโตตามอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวม
2. บริษัทที่เป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายรถยนต์
เป็นการขายสู่มือผู้ใช้รถยนต์โดยตรง ดังนั้น brand และรุ่นของรถจะมีความสำคัญ ถ้ามีรถรุ่นที่ได้รับความนิยมมากๆและเป็นรายได้ของบริษัทรถยนต์ จะทำให้เติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมได้
3. ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ (Leasing)
ผู้ซื้อรถเป็นผู้ขอสินเชื่อซึ่งจะขอมากขึ้นตามวัฎจักขาขึ้นของเศรษฐกิจและรถยนต์ มักจะแข่งขันด้วยดอกเบี้ยเป็นหลัก ใครดอกเบี้ยถูกจะได้ลูกค้ามากกว่า กำไรขึ้นอยู่กับการบริหารต้นทุนให้ต่ำ บริหารหนี้เสียให้น้อยลง ถ้าดอกเบี้ยนโยบายต่ำต้นทุนการเงินยิ่งลดลง
4. ธุรกิจที่ให้บริการรถยนต์ เช่น อู่ซ่อมรถ อู่แต่งรถ
โดยทั่วไปบริษัทรถยนต์จะมีศูนย์บริการอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามการที่รถยนต์มีมากขึ้น ย่อมทำให้บริการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์มากขึ้นเช่นกัน
5. ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ ทั้งพลังงานหลักและพลังงานทางเลือกราคาถูก
รถยนต์ต้องมีเชื้อเพลิงถึงวิ่งได้ ถ้าไม่มีเชื้อเพลิงย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะใช้รถยนต์ ถ้ารถยนต์มากขึ้นแนวโน้มความต้องการใช้เชื้อเพลิงย่อมมากขึ้นเช่นกัน และยิ่งเชื้อเพลิงใช้แล้วหมดไปยิ่งทำให้รายได้ค่อนข้างมั่นคงสม่ำเสมอ แต่มีความเสี่ยงเรื่องพลังงานทดแทน...ซึ่งมีการใช้ก๊าซทั้ง NGV LPG มากขึ้นเพราะน้ำมันราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามีพลังงานใหม่ที่มาทดแทนน้ำมันได้จะทำให้คนไม่ต้องการน้ำมันสำหรับรถยนต์อีกต่อไป แต่กว่าเทคโนโลยีระดับนั้นมาถึงอาจจะใช้เวลานาน รวมถึงเครื่องยนต์ของรถยนต์และโรงงานจะต้องมีการออกแบบใหม่หมดเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้พลังงานใหม่ ดังนั้นจึงมีแรงเสียดทานพอสมควรสำหรับพลังงานทดแทน แต่ราคาน้ำมันและปริมาณน้ำมันที่น้อยลงๆจะเป็นตัวผลักดันพลังานทดแทนให้เกิดขึ้น
6. ธุรกิจขนส่งที่มาทนแทนการใช้รถยนต์
การใช้รถไฟฟ้าและเครื่องบินมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ (พูดไปบ้างแล้ว)
7. ธุรกิจประกันภัยรถยนต์
กฎหมายบังคับให้มีการทำประกันภัย ดังนั้นยิ่งมีรถมากขึ้น รายได้ของอุตสาหกรรมประกันภัยยิ่งสูงขึ้น
8. ธุรกิจซื้อขายรถมือสอง
รถยนต์ใหม่ที่ออกมาเมื่อเวลาผ่านไปจะเก่าลง และเป็นทางเลือกของคนที่รายได้ไม่พอซื้อรถมือหนึ่ง บริษัทรถยนต์เริ่มมีการรับซื้อคืนรถยนต์มือสองของบริษัทตนเองเพื่อขายต่อ เช่น โตโยต้ายูสคาร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามคนมีแนวโน้มจะซื้อรถมือหนึ่งที่ราคาไม่แพง เช่น อีโคคาร์ เช่นกัน
9. บริษัททำถนน/ซ่อมถนน
ปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นย่อมนำมาซึ่งความต้องการถนนที่เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนถนนและขนาดถนน รวมไปถึงการขยายตัวของเมืองในต่างจังหวัด บริษัทรับเหมาก่อสร้างหรือบริษัทที่ทำวัสดุที่ใช้ในการทำถนนย่อมมีรายได้ที่มากขึ้น
การมองอุตสาหกรรมอย่างเดียวไม่เพียงพอ...ต้องมองหาบริษัทหรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมด้วยครับ
ทั้งหมดนี้เป็นการแชร์แนวคิดของผมจากเหตุการณ์หนึ่งๆซึ่งสามารถคิดเชื่อมโยงไปได้มากมายทั้งในมุมมองของนักลงทุน ทั้งการมองอุตสาหกรรมและการเลือกลงทุนในหุ้นเติบโตที่เกี่ยวข้อง
เหตุการณ์ที่ว่าคือ...
7 ปีผ่านไปตั้งแต่เริ่มทำงาน ในที่สุดผมจะได้ซื้อรถยนต์คันแรกในชีวิตเสียที ... รถนั้นคือ Mitsubishi Mirage ครับ
ยินดีด้วยครับ พอร์ตโตขนาดนี้ไม่ใช้เรายี่ห้อดังๆ สมแล้วที่เป็น truly value investor
ตอบลบขอบคุณมากครับ :D
ลบดร.นิเวศน์ รวยเป็นพันล้านยังซื้อวีออสขับเอง จะแปลกอะไรถ้าหมอก๊อบจะซื้ออีโคคาร์คุ้มๆ ซักคัน จริงมั๊ยครับ ;)
ตอบลบว่าแต่ถ้าซื้อมิตซูฯ ผมแนะให้พยายามเลี่ยงโชว์รูมศรีนครินทร์นะครับ เคยผ่านตอนประชุมผู้ถือหุ้นแถวๆ นั้นเลยแวะเข้าไปดู รู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นมืออาชีพ พอมาเสิร์ชในเน็ตก็เลยถึงบางอ้อ... แต่ถ้าพูดถึงตัวรถก็โอเคเลยครับ
ขอบคุณคุณ Antonio ครับ
ลบผมจองรถกับ Mitsu สาขาอุดรธานีน่ะครับ ...หลังจากเดือนมิ.ย.ผมจะย้ายไปอยู่อุดรธานียาวเลยครับ :D
เป็นบทความที่ดีมากครับ
ตอบลบผมอยู่จ.อุดรครับ ไม่ทราบว่าคุณก๊อปย้ายมาทำงานที่นี่ หน่วยงานไหนอะครับ
ขอบคุณครับ
ลบผมจะไปทำงานที่รพ.อุดรฯ ครับ (เริ่มเดือนก.ค.นี้)
:D
สวัสดีคะหมอ gob ติดตามอ่านมาหลายเดือนแล้ว
ตอบลบชอบบทความของหมอคะ อ่านได้ไม่เบื่อ เรียบง่าย เห็นภาพได้ชัดเจนดี
ป.ล.ว่าแต่เมื่อมีรถก้ต้องมีโอกาสไปทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น แล้วหุ้นภัตตาคารน่าจะเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ได้มั้ยคะ ^__^
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ :D
ลบ"ป.ล.ว่าแต่เมื่อมีรถก้ต้องมีโอกาสไปทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น แล้วหุ้นภัตตาคารน่าจะเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ได้มั้ยคะ ^__^"
มองในมุมนี้ผมว่าเกี่ยวเลยนะครับ การมีระบบขนส่งที่ดี (Transportation) รวมถึงรถยนต์ ... ทำให้คนออกจากบ้านไปหาสิ่งที่ต้องการได้สะดวกขึ้น เช่น ไปเที่ยว ไปทานอาหารนอกบ้าน ไปเรียน ไปทำงาน เป็นต้น ... ดังนั้นการมีระบบขนส่งที่ดีทำให้ Demand ที่เหลือเข้าหาแหล่ง Supply ได้ง่ายขึ้นครับ อีกทั้ง Supply ก็เข้าหา Demand ได้เช่นกันครับ (เช่น อาหาร Delivery ครับ)
มั่งคั่งแบบพอเพียง ชื่นชมจริงๆค่ะ
ตอบลบขอบคุณครับ :D
ลบเพิ่งมาอ่านงานคุณหมอ---ชอบมากครับ
ตอบลบขอเป็นกำลังใจให้คุณหมอเขียนงานดีๆออกมาเรื่อยๆ
ขอบคุณครับ ^^
ขอบคุณครับ :D
ลบอยากทราบว่าที่อุดร ระหว่างคอนโดกับบ้านเดี่ยวถ้าซื้อไว้ลงทุน อันไหนดีครับ
ตอบลบผมว่าบ้านเดี่ยวน่าจะดีกว่าครับ เพราะบ้านเดี่ยวมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วย อีกทั้งราคาที่ดินอุดรสูงขึ้นเรื่อยๆครับ คอนโดก็น่าสนใจครับแต่อาจจะต้องเลือกทำเลที่ดีหน่อยครับ :D
ลบสวัสดีครับ บทความมีประโยนช์มากครับ
ตอบลบผมเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดแต่ทำงานอยู่อุดรมาปีนี้ก็จะ 3 ปีแล้ว
ผมกำลังจะเป็นน้องใหม่ของแวดวงนี้(หุ้น VI)กำลังคิดลงทุนในหุ้นอ่านมาหลายบทความ ซื้อหนังสือมาอ่านบ้าง(ยังไม่จบซักเล่ม หนึ่งในนั้นแน่นอน "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์)พอดีมาเจอบทความของคุณหมอเข้า ผมว่าคุณหมอใจกว้างมากและต้องการถ่ายทอดประสบการณ์การลงทุน ให้แก่คนที่สนใจและกำลังเริ่มต้นไม่ต้องหลงทางเสียเวลา ยังไงก็ขอขอบคุณมากแล้วกันครับมันมีประโยนช์กับผมมากๆซักวัน พอร์ต ของผมคงจะโตเหมือนคุณหมอบ้างนะครับ
บทความดีมากๆครับ ตอนแรกว่าจะซื้อรถใหม่ มาเจอบทความนี้พอดี ตอนนี้บรรลุเลย ว่ายังไม่ควรซื้อ เอาเงินไปลงทุนก่อนดีกว่า
ตอบลบอ่านบทความนี้แล้วรู้ซึ้งเลยค่ะ ว่าการนำเงินไปใช้ประโยชน์นั้นป็นเช่นไร
ตอบลบ