วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กรณีศึกษา : หุ้น JUBILE

(คำเตือน ... ผมไม่ได้เชียร์หุ้นนะครับ  เอามาเป็นกรณีศึกษาวิธีคิดเฉยๆ  ซื้อตามอาจจะขาดทุนได้ครับ)

ผมนั่งคิดอยู่นานมากว่าจะแสดงวิธีคิดการวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัวดีใหม?  สรุปว่า... ลองดูก่อนละกัน  ถ้ามีปัญหาก็จะเลิกทำ  เพราะน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจวิธีการคิดวิเคราะห์การลงทุนในหุ้นเติบโต  ทุกคนที่รู้จักผมจะรู้ดีว่า...ผมไม่เคยเชียร์หุ้นเลย ไม่ใช่เพราะหวงหรืออมภูมิอะไร  ถ้ามีคนถามก็ผมจะบอกและต้องบอกเสมอว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง... ถ้าผมคิดว่าคนที่ถามหุ้นมีวิจารณญาณที่จะไม่ลอกโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองก่อนผมก็จะบอกหมด ...ที่ผมกลัวที่สุดคือเวลาคนซื้อตามแล้วขาดทุน  เพราะงั้นคนที่ผมกล้าบอกหมดคือผมมั่นใจว่าเขาคิดเองเป็นรับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเองได้  ยิ่งคนที่เห็นต่างสามารถหาเหตุผลเจ๋งๆมาแย้งได้ (ไม่ใช่แบบเถียงข้างๆคูๆนะครับ) ผมยิ่งชอบ Discuss ด้วย

คนที่ชอบเชียร์หุ้นที่ตัวเองถือมีมากมายเลยครับ  ทั้งในเวปบอร์ดทั้งในชีวิตจริง  หุ้นจะได้ขึ้นเร็วๆแรงๆแล้วคนตามไปทีหลังก็เจอดอยกันไป  ซึ่งเป็นวิธีที่ผมไม่ชอบมากๆเลยครับ  (ซึ่งคนเก่งๆหลายคนไม่เชียร์หุ้นก็ยังประสบความสำเร็จกันได้ครับ) ผมไม่เชียร์หุ้นซักคนวงการหุ้นก็คงจะไม่เป็นไร  เพราะการถือหุ้นเติบโตหวังการขึ้นของราคาจากการเติบโตธุรกิจที่ส่งผลต่อการเติบโตของกำไร  และผมชอบสอนวิธีคิดมากกว่าครับ 

เริ่มกันเลยนะครับ...

การวิเคราะห์หุ้นของผมจะเน้นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณนะครับ  เพราะผมคิดว่าปัจจัยเชิงคุณภาพบอกอนาคตได้ดีกว่า  ขณะที่ตัวเลขทางการเงินจะบอกได้แค่อดีตกับปัจจุบันซึ่งเอาไว้ใช้ตรวจสอบสมมุติฐานของเราเท่านั้น

Jubile  เป็นตัวที่ได้ผลตอบแทนน้อยที่สุดในพอร์ตเมื่อปีที่ผ่านมา  (ได้มาประมาณ  90 เปอร์เซ็นต์ไม่รวมปันผล)  แต่ถ้าบริษัทยังมีการเติบโตอยู่ผมก็ถือต่อไป แล้วปีนี้  Jubile กลายเป็นหุ้นที่ performance ดีที่สุดในพอร์ต (มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ไม่รวมปันผล)  (ต่อให้ราคาถึง Full-Valued ของปีนี้ผมก็ยังถือต่อไป  จนกว่าจะถึงราคาที่เป็น  room of growth  ของบริษัท – ลองอ่านในบทความ ”เพดานของการเติบโต” ได้ครับ)

นั่งเปิดสมุดที่เขียนสิ่งผมได้คิดวิเคราะห์ลงไปก่อนซื้อหุ้น...

คิดอะไรอยู่ตอนซื้อหุ้น? (ตอนกลางปี 53)

เพราะผู้บริหาร(คุณอัญ)สวย...เอ๊ยยยย... ม่ายช่ายยยย >_<

ซื้อเพราะ JUBILE  เป็น growth stock  ที่น่าสนใจ  สามารถเติบโตได้  20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีอย่างน้อยอีก 3 ปี ราคาถูก (ผมซื้อตอน 3 บาทต้นๆ)  PE  น้อยกว่าอัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างมาก

ลักษณะการทำธุรกิจ

การค้าปลีกเพชร  โดยมีการนำเข้าวัตถุดิบเพชรจากเบลเยียม  และนำมาผลิตเป็นเครื่องประดับและ design โดยทาง Jubile เอง  และขายผ่านร้านค้า (ทั้งร้านและเคาเตอร์ตามห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ)

สินค้า

เพชร - เครื่องประดับเพชร,  เพชรกะรัต, เพชรร่วง  (End product)

ใครคือลูกค้า?

ผู้หญิงวัยทำงาน,  คู่รักที่กำลังจะหมั้นหรือแต่งงาน

การที่ผู้หญิงเป็นลูกค้าหลัก  เข้าได้แนวโน้มใหญ่ในปัจจุบัน  (Megatrend) – Female economy  ที่ผู้หญิงมีกำลังซื้อสูงขึ้นจากการทำงานที่ได้เงินเดือนสูงๆ  ไม่ได้พึ่งผู้ชายในการเลี้ยงดูเหมือนเมื่อก่อน  รวมถึงผู้หญิงอยู่เป็นโสดมากขึ้นย่อมซื้อของให้ตนเองมากขึ้น  และเพชรเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงมานาน  ธุรกิจเพชรจึงมีแนวโน้มเติบโตไปตามกำลังซื้อของผู้หญิง  รวมถึงคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกัน

แล้วทำไมไม่ซื้อ PRANDA ในตอนนั้น? (ปี 53)

1. PRANDA  รายได้โตช้า  โดยเฉลี่ยเป็น 1 digit  พอๆกับหรือต่ำกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวม

2. Forex risk  ...ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า  เนื่องจากรายได้  PRANDA  มาจากการขายสินค้าแบบ
ส่งออก  คือ ขายได้เงิน USD แต่ค่าใช้จ่ายโดยส่วนใหญ่เป็นเงินบาท (จาการผลิตในประเทศ)  เมื่อเงินบาทแข็งจากทุนต่างประเทศไหลเข้า  ทำให้บริษัทขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน  และรายได้ลดลงแต่รายจ่ายเท่าเดิมทำให้กำไรลดลงหรือขาดทุนจากค่าเงินได้ครับ

PRANDA เป็นหุ้นที่ดีครับ เพียงแต่อัตราการเติบโตยังไม่น่าสนใจสำหรับผมเท่านั้นเอง

ที่มาของการเติบโต

1. การเติบโตจากรายได้ต่อสาขาเดิม  (Same store sales growth)

2. การเติบตาจากการขยายสาขาทั้งร้าน  (Shop) และ เคาเตอร์เพชร  (Retail  growth), รวมถึงการเช่าซื้อ (leasing)

3. การเติบโตที่มาจากการปรับตัวของราคาเพชร  (Price growth)

ซึ่งการเติบโตที่ผมหวังมากที่สุดคือการเติบโตของรายได้จากสาขาเดิม  เนื่องจาก...

1.ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค้มค่าเงินที่ลงทุนไปมากที่สุด

2. เพชรเป็นสินค้าราคาแพง  ดังนั้นคนที่จะซื้อเพชรคงคิดและเลือกอย่างดีก่อนจะซื้อ  ความสะดวกคงไม่ใช่ปัจจัยหลัก   (กรณี - ร้านสะดวกซื้อ  การขยายสาขาให้มากที่สุดจะดีเพราะจุดแข็งของร้านค้าปลีกคือความสะดวกในการเข้าถึงของลูกค้าครับ) ...แต่การขยายสาขาก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำโดยควรจะขยายไปตามหัวเมืองใหญ่ๆก่อนเพื่อสร้าง  brand  recognition  ให้ลูกค้าได้รับรู้จากการพบเห็น  ซึ่งหลังจากสินค้าเป็นที่นิยมแล้ว  การขยายสาขาเพื่อเติมเต็ม  demand  ส่วนที่เหลือจะทำได้ง่ายขึ้นครับ

จุดแข็ง

1. การที่ยูบิลลี่เน้นสร้าง brand  มากกว่าจะใช้สงครามราคา (price war) เหมือนเคาเตอร์เพชรรายอื่นๆ  ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่ม  market share มากกว่าในระยะยาว  รวมถึงการตั้งราคาได้สูงกว่าทำให้รายได้เพิ่มและรักษา gross margin ไว้ได้

2. การต่อรองราคาวัตถุดิบกับ supplier ที่เบลเยี่ยม  (เข้าใจว่าเนื่องจากสายสัมพันธ์ที่ค้าขายมานาน)  ทำให้ต้นทุนไม่สูงขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำตอนปี 52 บริษัทยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้

3. การที่เพชรมีใบ certificated  ของ  HRD ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าสินค้ามีคุณภาพ  และการขายสินค้าต่อก็ทำได้ง่าย  ลูกค้าจะกล้าซื้อ

4. การออก New product ที่โดนใจลูกค้าทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ทันที  ซึ่งส่งผลต่อ inventory  turnover ที่เร็วขึ้น  ทำให้เพิ่มยอดขายได้จากจำนวนรอบ  เงินไม่จมอยู่ใน inventory  มากนัก  รวมถึงการขยันทำ Sale event

(ปล. ขยายความข้อ 4 - ปกติแล้วพวกค้าปลีกทั่วไปมักจะมี  gross  profit margin และ net profit margin ไม่สูง  แต่อาศัย turnover rate ที่สูงเพื่อเพิ่มยอดขายทำให้กำไรสุทธิสูงขึ้น – พูดง่ายๆคือ  กำไรไม่เยอะเน้นขายได้เยอะๆไว้ก่อน

 แต่กรณียูบิลลี่เป็นร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าราคาแพง การเน้น gross profit margin สูงๆ  จะเป็นจุดเด่นของร้านค้าปลีกของกลุ่มสินค้าราคาแพง  - พูดง่ายๆคือ ขายเรื่อยๆแต่กำไรดีมาก  ...ซึ่งการที่ยูบิลลี่เน้นการเพิ่ม turnover ของ inventory  ยิ่งทำให้ดีขึ้นไปอีก)

5.  กระแสเงินสดดีมาก  เนื่องจากสินค้าส่วนใหญขายเป็นเงินสด (ลูกค้ารายบุคคล)  แต่เวลารับสินค้าจาก supplier  มาผลิตได้เป็น  credit-เจ้าหนี้การค้า  โดยมีระยะเวลา  credit term 90-120 วัน  แต่การผลิตสินค้าใช้เวลาเพียง  30-60 วัน  จึงมีช่องว่างในการขายเพื่อนำเงินไปจ่าย credit 

การที่กระแสเงินสดดีทำให้  มีเงินสดมากและนำไปลงทุนต่อได้  เช่น การขยายสาขา  หรือนำเงินจ่ายคืนผู้ถือหุ้นได้  (บ.จ่าย 60 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิครับ)

6. จำนวนสาขาทิ้งห่างอันดับ 2 ที่เป็นเคาเตอร์เพชรแบบเดียวกันค่อนข้างมาก

จุดอ่อน

1.การแข่งขันสูงมาก  - ข้อนี้สำคัญที่สุด!!! ในช่วงแรกที่ผมยังชะลอการลงทุนอยู่เพราะการแข่งขันสูงในตลาดเพชร  มีผู้เล่นมากมายในวงการอัญณีและเครื่องประดับเพชร  ซึ่งบริษัทที่อยู่นอกตลาดจะได้ประโยชน์กว่าในการปลอมบัญชีให้มีกำไรสุทธิน้อยๆเพื่อเสียภาษีให้น้อย  แต่จริงจะได้กำไรมากกว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องเปิดเผยตัวเลขทุกอย่างต่อสาธารณชน

ดังนั้นถ้าเป็นการแข่งขันด้านราคา  บริษัทจะเสียเปรียบมาก

ซึ่งการสร้าง brand จะเข้ามาปิดจุดอ่อนนี้

2. อัตราการซื้อซ้ำไม่สูง – เพชรจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย  เราคงไม่ได้ซื้อเพชรทุกวันหรือทุกเดือน  ไม่เหมือนสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ตลอด  ดังนั้นอัตราการซื้อซ้ำจะไม่สูง  คนที่ซื้อซ้ำบ่อยๆส่วนใหญ่จะเป็นคนมีฐานะหรือคนที่ชอบเพชรมากจริงๆ  (จริงๆผู้หญิงก็ชอบเพชรเกือบทุกคน)

อัตราการซื้อซ้ำอยู่ที่ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งการสร้าง brand  ที่ดีจะทำให้ลูกค้าภักดีต่อ brand เดิม ถ้ามีการซื้อซ้ำโอกาสซื้อกับเจ้าเดิมมีสูง

3. ธุรกิจเก่า – ธุรกิจเพชร  อัญมณีจัดว่าเป็นธุรกิจโบราณที่มีมานาน  อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวมจะไม่สูงเมื่อเทียบกับธุรกิจใหม่ๆ

การบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันจะทำให้แย่ง  market share ซึ่งส่งผลให้เติบโตได้มากกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม

โอกาส

1. ทองราคาสูงขึ้น  คนหันมาซื้อเพชรมากขึ้น  โดยคนมองเป็นการลงทุนจากเดิมมองแต่ว่าเป็นเครื่องประดับ  และสินค้าเพชรไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา 

2. การเข้าตลาดของ  Jubile  ทำให้คนรู้จัก brand  มากขึ้น และขายได้มากขึ้น  เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนก็มีแต่คนมีฐานะดี  จึงเป็นการโฆษณาไปโดยปริยาย  รวมถึงการที่คุณอัญ  CFO คนสวยของบริษัททายาทรุ่นที่ 4  เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักลงทุนยิ่งเป็นการโฆษณ brand ได้เป็นอย่างดี

3. ค่าเงินบาทแข็งจะทำให้ต้นทุนสินค้า  เพชรที่นำเข้าเมื่อคิดเป็นเงินบาทราคาถูกลง  ต้นทุนจะลดลงและกำไรเพิ่มขึ้น

ความเสี่ยง

1. การถูกขโมย  ถูกปล้น  เนื่องจากสินค้าชิ้นเล็กและมีราคาแพงมาก – จุดนี้ Jubile จะมีการทำประกันสินค้าไว้

2. การที่วัตถุดิบขึ้นราคาเนื่องจากมีความต้องการเพชรในตลาดโลกสูงขึ้น  ต้นทุนเพชรจะสูงขึ้นและกำไรลดลงในที่สุด – จุดนี้ Jubile รับมือโดยต่อรองกับ supplier ที่เบลเยียมได้  รวมถึงการสร้าง brand ที่ทำให้ตั้งราคาขายได้สูง

3. การประเมินราคา inventory ที่ค่อนข้าง subjective – ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือของธรรมาภิบาลผู้บริหาร

4. ความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน  - ค่าเงินผันผวนจะทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้  ซึ่งบริษัทใช้วิธีแก้โดยทำ  forward contact  ค่าเงิน  แต่ช่วงที่เงินบาทแข็งก็ปล่อยให้แข็งค่าไป

5. กระทบได้ง่ายมากถ้าเศรษฐกิจโดยรวมมีปัญหา  เพราะเพชรเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจะเป็นสินค้าที่คนจะหยุดซื้อเพื่อประหยัดก่อนสินค้าอื่น

ROOM OF GROWTH

มี 2 สมมุติฐาน
1. โตได้แต่ในประเทศ
2. สามารถขยายออกไปต่างประเทศได้

สรุป...หุ้น Jubile มี 3 คุณสมบัติของหุ้น growth  ที่ผมชอบคือ 1. Growth story  โตได้ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี  2. มีความสามารถในการแข่งขัน  (DCA) – (กรณีนี้คือไม่ใช่ low competition) 3. Good cash flow

ลองอ่านบทความ  แนวทางการลงทุนของผม (ทั้ง 3 ตอน)  และเพดานของการเติบโตไปด้วยจะเข้าใจมากขึ้นครับ

วิเคราะห์ให้ฟังเท่านี้ก่อนละกันครับ  ฝึกเยอะๆนะครับจะได้เก่งๆครับ

19 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ

    ผมไม่ค่อยได้ตามอุตสาหกรรมนี้ อยากทราบว่าจุดเด่นสินค้าของ Jubilee ต่างจากคู่แข่งอย่างไรบ้างครับ จึงสามารถตั้งราคาได้สูงกว่า

    ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพชรเพื่อเป็นเครื่องประดับ หรือสะสมเพื่อการลงทุนเหมือนพวกนาฬิกาแพงๆ ครับ และมีตลาดรองรับการซื้อขายอย่างทองคำหรือไม่

    คุณ Gob มีความคิดเห็นอย่างไรกับหุ้น GFM บ้างครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณคุณ Suwits สำหรับคำถามดีๆเช่นกันนะครับ :)

    เวลาผมเดินห้างส่วนที่เป็นเคาเตอร์เพชร ซึ่งจะมีหลายร้าน ส่วนใหญ่จะติดป้าย Sale ลดราคาทั้งปี (ไม่เคยเห็นช่วงที่ไม่ลดเลยครับ) เคาเตอร์อื่นๆจะลดราคา 40 -50 เปอร์เซ็นต์ แต่ของ Jubilee จะลดน้อยกว่า (ลดประมาณ 20 - 30 เปอร์เซ็นต์ นานๆที่จะมี Sale event กระตุ้นยอดขายลด 40 -50 เปอร์เซ็นต์) ถ้าคนที่ไม่มีความรู้เรื่องเพชรจะเดินเข้าร้านที่ลดราคามากๆก่อน

    แต่ที่ Jubilee กล้าลดราคาน้อยกว่าได้น่าจะมาจาก 1. การออกแบบ Design ที่สวยงามเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากกว่าการคิดราคาขายจากต้นทุน 2. การมีใบ certificate ทำให้ลูกค้ามั่นใจในเวลาซื้อว่าได้ของมีคุณภาพตามสเปก (รวมถึงทางร้านมีบริการซ่อมแซมเพชร การรับซื้อเพชรคืน) เพราะการซื้อเพชรราคาถูกแต่ไม่มีใบเซอร์รับรองอาจจะไม่ได้ของที่ตามสเปกที่ร้านบอกมา ทำให้ผู้ซื้อขาดทุนอย่างมาก 3. ความเชื่อมั่นใน brand ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ซึ่งผมว่า...คงจะต้องดูราคาที่ลูกค้าจ่ายจริงหลังลดราคาด้วย (เปอร์เซ็นต์การลดเป็นแค่ตัวดึงดูด) โดยราคาเพชรจะขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ ที่เรียกว่า 4Cs – สี (Color) ความบริสุทธิ์ (Clarity) การเจียระไน (Cut) น้ำหนัก (Carat) รวมถึงรูปร่างของเพชร ทำให้การประเมินราคามาตราฐานต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ

    ปัจจุบันคนไทยยังซื้อเพชรเพราะความพึงพอใจ ซื้อไปประดับมากกว่าจะลงทุนครับ แต่ตลาดเพชรเองก็มีความพร้อมในการซื้อเพื่อลงทุนแล้ว ยิ่งราคาทองสูงขึ้นราคาเพชรก็สูงขึ้นตามครับ

    โดยเปรียบเทียบกับทอง ทองจะอ้างอิงราคาจาก 1. ทองรูปพรรรณ/ทองคำแท่ง 2. ความบริสุทธิ์ 3. น้ำหนัก (ของไทยคิดเป็นบาท ...อเมริกาใช้ troy ounce) การคิดราคาทำได้ง่าย ทำให้ซื้อขายได้ง่ายมีตลาดรองรับที่ชัดเจน

    โดยในไทยเองก็มีตลาดรองรับการซื้อขายเพชรแล้ว โดยร้านเพชรหรือเคาเตอร์เพชรที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะอ้างอิงราคาจากราคากลางของเพชร เพชรที่ซื้อขายเพื่อการลงทุนจะเป็นเพชรทรงกลม (ราคาจะดีกว่าและมาตราฐานกว่าเพชรแฟนซีครับ)

    ซึ่งการซื้อขายเพชรเพื่อการลงทุนก็ยังเป็น โอกาสในการ growth ของ jubilee อยู่ครับ โดยเฉพาะเพชรกะรัต (ซึ่งรายได้จากส่วนนี้ยังน้อย เมื่อเทียบกับเครื่องประดับเพชรครับ) เพราะคนซื้อเพชรกะรัตมักจะซื้อในร้าน luxury brand มากกว่า ซึ่งคงจะต้องดูการเติบโตในตลาดเพชรกะรัตของ jubilee ต่อไปครับ

    หุ้น GFM ผมไม่ได้ดูเลยอ่ะครับ เพราะปริมาณการซื้อขายน้อยมาก ไม่รู้จะซื้อจะขายกันยังงัยอ่ะครับ

    ปล. เรื่องการประเมินราคาเพชรเพื่อการลงทุนผมขอยกยอดไปตอบในบทความเรื่อง “การซื้อเพชรเพื่อการลงทุน” นะครับ ตั้งใจว่าจะเขียนถ้ามีเวลาครับ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณคุณ Gob ครับที่ทำให้ผมเข้าใจจุดแข็งของธุรกิจอย่าง JUBILE มากยิ่งขึ้น
    ขอชื่มชมบทความแต่ละเรื่องที่เขียนมีประโยชน์มากๆ สำหรับนักลงทุน

    ผมจะติดตามอ่านบทความต่อๆ ไปของคุณ Gob ทาง Blog นี้
    ขอบคุณมากครับ =)

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณคุณ suwits มากๆเลยครับ ผมจะพยายามพัฒนาตนเองต่อไป และแบ่งปันสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนครับ

    ตอบลบ
  5. เดี๋ยวนั้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนครับคนไปซื้อของกันที่ห้าง ร้านทองเพชรก็ต้องปรับตัวขึ้นห้างด้วย เพราะ"เงินไม่มีขาต้องให้คนพามา"

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. "เงินไม่มีขาต้องให้คนพามา" - ผมชอบคำนี้มากเลยครับ :D

      ลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ1 กันยายน 2555 เวลา 23:10

    ขอโทษนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าโพสแล้วไม่ขึ้นหรืออย่างไร ผมโพสต์อีกรอบละกันนะครับ อยากจะถามพี่หมอหน่อยนะครับ ว่า พี่หมอคิดอย่างไรครับ จึงทราบว่า jubilee จะ growth ถึง20 percent อะครับ ดูจาก แค่ปัจจัยทางคุณภาพอย่างเดียวเลยหรือครับ ถ้าดูจากคุณภาพอย่างเดียว พี่หมอคาดการณ์ยังไงอะครับ ถึงได้ออกมาเป็นตัวเลขว่า 20 เปอรเซนต์ คือผมค่อนข้างมีปัญหากับการที่ แปลงปัจจัยทางคุณภาพออกมาเป็นตัวเลขอะครับ เหมือนกับ ผมคิดว่าบริษัทนี้จะเติบโตจากเหตุผลนี้ ผมก็ยังคงงงอยู่ดีว่า ตัวเลขการเติบโตควรจะออกมาเป็นเท่าไร ขอบคุณมากนะครับ
    Bank

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ผมไม่ได้ใช้ปัจจัยเชิงคุณภาพอย่างเดียว ผมใช้ปัจจัยเชิงปริมาณร่วมด้วยครับ

      การประเมินปัจจัยเชิงคุณภาพนำไปสู่การคาดการณ์อัตราการเติบโตดังนี้

      1. ดูจากการประมาณการณ์ของผู้บริหารว่า...คาดการณ์การเติบโตของบริษัทอย่างไรในช่วง 5 ปี (ผู้บริหารคือคนที่รู้จักบริษัทของเขาดีที่สุด) แล้วมาประเมินว่าผู้บริหารจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่? ทั้งปัจจัยที่จะสนับสนุนและปัจจัยที่จะทำให้ไม่เป็นตามแผน ผู้บริหารมองโลกในแง่ดีเกิไปหรือไม่? เมื่อประเมินอย่างรอบด้านแล้วจะคาดการณ์อัตราการเติบโตได้ว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าที่ผู้บริหารตั้งไว้ครับ

      2. ดูจากตัวเลขการเติบโตในอดีตว่าทำได้ที่อัตราการเติบโตเท่าไร? ในอนาคตจะทำได้เหมือนเดิมหรือไม่? เหตุปัจจัยที่ทำให้เติบโตมาในอดีต...เช่น การขยายสาขา ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ยังคงอยู่และทำให้อัตราการเติบโตเหมือนกับหรือโตกว่าในอดีตหรือไม่?

      3. ดูจากงบการเงิน...และแผนการลงทุนของกิจการ เช่น กิจการทำยอดขายต่อสาขาได้เฉลี่ยเท่าไร? ถ้าเปิดสาขาใหม่ใช้เวลาแค่ไหนที่จะขายสินค้าได้จนคืนทุนหรือ Break even แล้วเราจะได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากตัวเลขการขยายสาขา นอกจากนั้นต้องประเมินว่า Room of growth ในการขยายสาขาทั้งหมดทำได้แค่ไหน? เพื่อหาจุดอิ่มตัวและเวลาที่จะไปถึงจุดอิ่มตัว...แล้วเราจะได้อัตราการเติบโตเฉลี่ยในระหว่างทางครับ นอกจากนั้นยังต้องประเมินการเติบโตของ Same store sale ในอดีตเพื่อลองประมาณค่าการเติบโตของ SSS ในสาขาที่เปิดใหม่ด้วยครับ

      เราไม่สามารถคาดการณ์การเติบโตได้แม่นยำหรอกครับ...ทำได้แค่คาดการณ์คร่าวๆเท่าที่ข้อมูลจะเอื้ออำนวย แต่ต้องวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณให้แม่นยำก่อนไม่อย่างนั้นตัวเลขที่เราตั้งสมมุติฐานจะเป็นเพียงตัวเลขลอยๆที่นำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาดได้ครับ ขอแค่คาดการณ์ได้ถูกต้องแบบไม่แม่นยำก็เพียงพอที่จะเป็นผู้ชนะในเกมส์นี้แล้วครับ (ดีกว่าคาดการณ์ผิดอย่างแม่นยำครับ)

      ลองใช้ Excel ประมาณค่าของงบการเงินเช่น ยอดขายที่แค่ไหน ต้นทุนเพิ่มเท่าไร เพื่อดูว่ากำไรเติบโตเท่าไร?...ในหลากหลายสมมุติฐานแล้วเราจะเห็นภาพของการเติบโตชัดขึ้นครับ

      :D

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ14 กันยายน 2555 เวลา 01:01

      เพิ่งเห็นว่าพี่ก็อบมาตอบในนี้ด้วย ขอบคุณมากนะครับ ว่าแต่พี่ก็อบเคยไปเรียนคอร์สหุ้นบ้างไหมครับ พอจะมีที่ไหนแนะนำบ้างไหมครับ :D
      Natee

      ลบ
    3. พี่ว่าน้อง Natee ถามดีนะ... ปกติพี่จะลงคำตอบไว้ใน Blog เสมอเพื่อให้คนถามและคนที่คิดจะถามคำถามคล้ายกันได้มาอ่านที่พี่โพสไว้ จะได้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นน่ะ

      พี่ไม่ค่อยได้ไปเรียนคอร์สหุ้นที่ไหน...จะมีแต่ของเวป Green-orange ที่พี่ไปหลายครั้ง เช่น เรียนอ่านงบกับอ.ภาพร เรียน Business strategy แต่ที่อื่นพี่แทบไม่เคยไปเลยนะ เวลาไม่ค่อยมี ถ้ามีเวลาลองไปลงเรียนคอร์สหุ้นที่ Thaivi จัดก็น่าจะดี

      ลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ14 กันยายน 2555 เวลา 19:52

    ขอบคุณนะครับพี่ก็อบ ผมก็เพิ่งหัดเรียนรู้ไม่นานอะครับ เพราะว่าจะเริ่มทำงานแล้ว ก็เลยคิดว่า น่าจะหาความรู้เพื่อที่จะได้นำเงินที่ได้มาไปลงทุนและออมอะครับ ผมก็เริ่มจากอ่านหนังสือหุ้นๆหลายๆเล่มแล้วก็ลองอ่านพวก thaivi อะครับ เลยมาเจอบล็อคพี่ก็อบ พอผมลองอ่านบล็อคเกี่ยวกับทัศนคติแล้วก็วิธีลงทุนของพี่ ผมก็เลยประทับใจครับ เพราะผมก็ไม่มีเพื่อนหรืออาจารย์ที่ไหนสอนเหมือนกันเลยครับ เวลาผมถามเพื่อนหรือพี่ที่รู้จักบางคนที่เค้าลงทุนเกี่ยวกับคำแนะนำ ก็ดูเหมือนไม่ค่อยมีคนอยากตอบเลยครับ ไม่รุ้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ไปถามคำถามที่ไม่ดีนะครับ เพราะงั้นก็ขอบคุณพี่มากนะครับ ที่อุตส่าห์สละเวลามาตอบ ไว้สักวันนึงถ้าผมเก่งแบบพี่มั้ง (หวังว่าคงจะมีวันนั้นนะคับ ฮา) ผมจะพยามทำแบบพี่มั้งนะครับ :D

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. โดยส่วนใหญ่เวลาถามคำถามแล้วไม่มีใครอยากตอบจะมาจาก...การถามที่ไม่แสดงถึงการทำการบ้านมาก่อน ...จะมาขอความรู้โดยไม่ลงแรงเลย เพราะไม่มีใครอยากช่วยคนที่ไม่ยอมช่วยตัวเองครับ

      แต่ถ้าน้องคิดว่าถามคำถามตามปกติ...ไม่ได้ถามไม่ดีอะไรก็ไม่ต้องไปคิดมากนะ คนที่ถูกถามอาจจะไม่ว่างก็เป็นได้ ...บางทีคำถามของเราลอง search อาจจะเจอคนที่เคยสงสัยแบบเดียวกับเรามาก่อน ลองอ่านดูเราจะได้ไม่ถามซ้ำ และประหยัดเวลาของเราอีกด้วยครับ

      ส่วนพี่ไม่ค่อยซีเรียส มีคนถามมาถ้ารู้พี่ก็ตอบไปเท่าที่พอจะตอบได้

      การให้ความรู้ไม่ต้องรอเก่งเทพก็ได้ ...เรารู้แค่ไหนเราก็สอนคนอื่นเท่าที่เรารู้ เช่น การรู้จักออมเงิน เป็นต้น เท่านี้ก็สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้แล้วครับ

      :D

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ15 กันยายน 2555 เวลา 22:00

      ขอบคุณครับพี่ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยมีคนอยากมาเรียนกับผมเลย ฮาๆ

      ลบ
    3. ไม่ระบุชื่อ20 กันยายน 2555 เวลา 21:54

      พี่ก็อบครับ รบกวนถามเพิ่มหน่อยนะครับ ผมอยากรู้เกี่ยวกับแนวคิดตอนที่พี่ก็อบซื้อjubile และหุ้นเติบโตอะครับ

      1. ปกติเวลาพี่ก็อบมองหาหุ้นเติบโตอะครับ ส่วนมากพี่ก็อบมองจาก bottom up หรือว่า top down ลงมาอะครับ มีวิธีการกรองหุ้นคร่าวๆก่อนบ้างไหมครับ

      2. อย่าง jubile ที่พี่ก็อบคาดการณ์ว่าจะเติบโตเนี่ยครับ พี่ก็อบมองว่าจะเป็นการเติบโตที่มาจาก การเพิ่ม market share หรือว่า เกิดจาก market growth มากกว่ากันอะครับ คือโดยส่วนตัวผมมองไม่ค่อยเห็นว่า ตัวตลาดเพชรเนี่ยมันก็อยู่มานานแล้ว มันจะgrowth จากอะไร อย่างที่พี่ก็อบบอกว่าจาก megatrend เรื่องผู้หญิง ผมก็ยังมองไม่ค่อยออกอะครับ (อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยสนใจเพชรเลยครับ)

      3. เวลาพี่ก็อบมองหาหุ้นเติบโต พี่ก็อบมองหาพวกตัวเร่ง ด้วยไหมครับ เพราะบางทีธุรกิจบางอย่างผมก็เห็นมันอยู่อย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว อยู่ดีดีก็โตขึ้นมา

      4.การที่เพชรมีราคาแพง ทำให้มีผลกระทบเยอะ ถ้าเศรษฐกิจแย่ อย่างที่พี่ก็อบพูด พี่ก็อบ ได้มีการคาดการณ์ เศรษฐกิจล่วงหน้า สองสามปีก่อนไหมครับ

      ปล.คุณอัญสวยจริงด้วยครับ :D
      ขอบคุณมากครับ
      Natee

      ลบ
    4. ตอบข้อ 1 ดูทั้ง 2 แบบครับ วิธีการกรองจะพูดไว้ในบทความเรื่องการลงทุนในหุ้นเติบโตแล้ว คือดูจากชีวิตประจำวันว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมด้านไหนจะมา (หรืออาจจะดูจากข่าว) แล้วค่อยไปหาธุรกิจที่น่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้านนั้นครับ หรือบางทีเจอบริษัทที่น่าสนใจพี่ก็เข้าไปประเมินอุตสาหกรรมภาพรวมอีกทีครับ

      ข้อ 2 มองทั้ง 2 อย่าง Market growth จากผู้หญิงมีกำลังซื้อมากขึ้น ...Market share growth จากบริษัทเน้นการสร้างแบรนด์ สร้างผลิตภัณฑ์และขยายสาขาครับ

      ข้อ 3 ต้องหา Driver แน่นอนครับ อย่าง Jubile ตัว Driver คือเศรษฐกิจพื้น ผู้หญิงมีกำลังซื้อมากขึ้น คนเปลี่ยนวิถีชีวิตจากซื้อแต่ของจำเป็นไปซื้อของที่พึงพอใจมากขึ้น ...อุตสาหกรรมที่อยู่มานานใช่ว่าจะไม่มีการเติบโต เช่น ธุรกิจอาหาร สิ่งที่ทำให้เติบโตคือ...วิถีชีวิตมนุษย์ที่เปลี่ยนไปครับ

      ข้อ 4 พี่ไม่ได้คาดการณ์เศรษฐกิจเลยครับ เพราะอย่างที่พูดไว้ในบทความการลงทุนหุ้นเติบโตว่าไม่มีใครคาดการณ์อนาคตได้ ดังนั้นขอให้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการแข่งขันดีกว่า อุตสาหกรรมเพชรก็อยู่มาเป็นพันปีแล้ว...ถึงเศรษฐกิจจะทรุดอีกสักรอบ คนก็ไม่ได้หยุดที่จะให้ค่าของเพชร แต่อาจจะซื้อน้อยลง...เมื่อเศรษฐกิจฟื้นคนก็กลับมาซื้อใหม่เหมือนเดิมครับ (และมักจะโตกว่าเดิมด้วย...เพราะคนในแถบเอเชียมีฐานะดีขึ้นมากครับ)

      ลบ
    5. ไม่ระบุชื่อ21 กันยายน 2555 เวลา 14:16

      ขอบคุณพี่ก็อบมากเลยนะครับ พอจะเห็นภาพเพิ่มขึ้นมาแล้วครับ :D

      ลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ28 กันยายน 2555 เวลา 21:21

    รบกวนสอบถามมุมมองของพี่ก็อบค่ะ
    ในมุมมองส่วนตัวนะค่ะ คิดว่า Jubile เป็นหุ้นท่ีมีศักยภาพในการเติบโตอีกเยอะพอสมควร หลัก ๆ น่าจะมาจาก
    1 การแย่ง Market Share ที่มีมูลค่าตลาดสูงมาก
    2 เป็นธุรกิจมีไม่ต้องลงทุนใน รายจ่ายฝ่ายทุน
    3 ทำให้แทบไม่มีค่าเสี่อมราคาเลย
    4 bizmodel เป็นไปตามแบบของ moderntrade
    5 น่าจะถือลงทุนระยะยาว ได้อย่างสบายใจ สำหรับคนท่ีต้นทุนไม่สูง
    พี่ก็อบคิดเห็นอย่างไรค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ผมเห็นด้วยครับ JUBILE น่าจะลงทุนระยะยาวได้... แต่ต้องติดตามเป็นระยะๆว่า JUBILE ยังมีศักยภาพในกาเติบโตเหมือนเดิมหรือไม่? ตลาดโตน้อยลงหรือไม่? ความสามารถในการแข่งขันของ JUBILE น้อยลงหรือไม่? ถ้าศักยภาพในการเติบโตยังสูงอยู่ก็สามารถถือต่อได้...ถ้าศักยภาพในการเติบโตยังอยู่นานก็ลงทุนนานเท่าที่ศักยภาพยังอยู่ ถ้าศักยภาพหายไปก็หมดเวลาลงทุนครับ เพราะถือว่าไม่ใช่หุ้นเติบโตอีกต่อไปครับ :D

      ลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ1 ตุลาคม 2555 เวลา 06:00

    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น