วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความน่ากลัวของตลาดหุ้น

ช่วงนี้ 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.53-54) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ขึ้นมา 100 กว่าเปอร์เซ็นต์ จาก 400 ต้นๆ จนปัจจุบันทะลุ new high ที่ 1100 แล้ว คนที่ลงทุนในช่วง 2 ปีนี้ส่วนใหญ่น่าจะได้กำไรงดงามกันถ้วนหน้า (แต่จริงๆก็คงมีคนที่ขาดทุนอยู่เพราะซื้อตามข่าวลือ หุ้นตกแล้วรีบขาย ซื้อหุ้นที่ราคาแพงๆ และอีกหลากหลายเหตุผลที่จะขาดทุน) คนที่ออกมาพูดส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ได้กำไรงดงาม แต่คนที่ขาดทุนอาจจะเ
งียบๆไม่พูด ทำให้คนที่อยู่นอกตลาดได้รับรู้ภาพเพียงด้านเดียวว่า...ตลาดหุ้นคือแหล่งทำเงินที่ง่ายดาย

ผู้เล่นหน้าใหม่ๆเริ่มเดินเข้าสู่ตลาดหุ้น หลายคนพกความหวังมาเต็มที่โดยหวังว่าตนเองจะมีอิสระภาพทางการเงินในเร็ววัน ยิ่งได้ยินเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ...ยิ่งมีกำลังใจ อยากจะให้พอร์ตการลงทุนตนเองโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์บ้าง

พอความคาดหวังที่สูง และเข้ามาลงทุนในช่วงที่ดัชนีทำ new high นักลงทุนหน้าใหม่ก็จะใช้วิธีหาหุ้นเด็ด โดยอาจจะไปลอกเซียนหุ้นชื่อดัง ค้นหาตามเวปบอร์ดว่าหุ้นไหนเด็ดคนพูดถึงเยอะ อ่านบทวิเคราะห์โดยดูแค่ราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ โดยไม่ทราบเหตุผลในการลงทุนในหุ้นที่ซื้อลงไป...ไม่ทราบว่าถ้าหุ้นตกจะทำอย่างไร จะซื้อจะขายเมื่อไร จะถือนานแค่ไหน...รู้แค่ว่าขอได้ซื้อตามเซียน ได้ซื้อตามคนอื่นก็อุ่นใจแล้ว แค่นี้ก็ได้กำไรเป็นร้อยๆเปอร์เซ็นต์เหมือนเซียนแน่ๆ

แต่ตลาดหุ้นนั้นไม่ง่าย...เพราะถ้าง่ายจริง ทุกคนก็คงจะรวยจากตลาดหุ้นกันหมด แต่ในความจริงมีคนที่หมดตัวจากตลาดหุ้น มีคนที่เป็นหนี้สินมากมายจากการเล่นหุ้น

ผมจะลองขยายความตามจริง...เพื่อคุณให้รู้ตลาดหุ้นน่ากลัวยังงัย

ความน่ากลัวของตลาดหุ้น

1.ผู้เล่นหลักทั้ง 4 ประเภทของตลาดหุ้น

ในตลาดหุ้นจะมีผู้เล่นหลักๆ 4 ประเภท คือ กองทุนและนักลงทุนต่างประเทศ, กองทุนไทย, บริษัทหลักทรัพย์, นักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่

1.1 นักลงทุนและกองทุนต่างประเทศ – เราเรียกพวกนี้ว่า “ฝรั่ง” เป็นกลุ่มทุนที่นำเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เม็ดเงินของฝรั่งนั้นสามารถชี้นำตลาดหุ้นไทยได้สบายๆ  ถ้าฝรั่งซื้อ”ส่วนใหญ่”หุ้นจะขึ้น...ฝรั่งขาย”ส่วนใหญ่หุ้น”จะลง  เพราะตลาดหุ้นไทยนั้นมีขนาดเล็ก เล็กกว่าบริษัท Apple Inc. บริษัทเดียวซะอีก (ณ ที่ Market Cap ปัจจุบัน 320 Billion Dollar US) เม็ดเงินจากต่างชาติจึงมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยมาก เช่น ในปี 2551 ที่มีวิกฤต subprime ฝรั่งขนเงินกลับประเทศ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกหนักจาก 900 จุด เหลือ 400 กว่าๆเท่านั้น หรือในช่วงที่มีมาตรการตั้งสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ ตลาดหุ้นตกไปวันเดียวเกิน 100 จุดจากการเทขายของฝรั่ง

นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทใหญ่ๆได้โดยตรง ซึ่งได้เปรียบนักลงทุนทั่วไปมาก รวมถึงมีการทำงานเป็นทีม มีนักวิเคราะห์วางแผน หน่วยหาข้อมูลติดตามทั้งสถาณการณ์เศรษฐกิจโดยรวมและข้อมูลของบริษัทแบบเต็มเวลา แล้วแต่ละคนก็ล้วนเป็นหัวกระทิ จบการเงินการลงทุนจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ ในต่างประเทศคนเก่งๆจะไปเรียนธุรกิจและการลงทุนกันมากมาย ไม่เหมือนกับบ้านเราที่คนเก่งนิยมเรียนแพทย์ ดังนั้นบอกได้เลยว่า...ฝรั่งกลุ่มนี้คือ ระดับหัวกะทิของชาติเขาแล้ว

แล้วนักลงทุนอย่างเราจะหาอาวุธอะไรไปสู้กับ...กลุ่มคนที่ทั้งฉลาด  จบการศึกษามาทางด้านการลงทุนโดยตรง มีเม็ดเงินปริมาณมหาศาล เข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วและทำงานด้วยทีมที่เป็นเลิศ

ไม่ง่ายเลยครับ...หลายๆคนใช้วิธีซื้อขายตามฝรั่ง...แต่เราก็ไม่ทราบหรอกครับว่าในวันนั้น พวกเขาซื้อหรือขาย เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมีการเปิดเผยหลังจากตลาดหุ้นปิดแล้ว สุดท้ายเราก็เป็นผู้ตามเท่านั้น เพราะพวกเขาคงจะเข้าเก็บของจนครบแล้วหรือไม่ก็ปล่อยของไปเรียบร้อยแล้ว...กำไรของพวกเขาก็มาจากนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อตามเขานี่ล่ะครับ รวมถึงเราไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาซื้อหรือขายหุ้นตัวไหน รู้แต่ยอดรวม อาจจะมีข้อมูล NVDR แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าฝรั่งจริงหรือปลอม

1.2 กองทุนไทย – พวกกองทุนก็จะเป็นรูปแบบคล้ายๆกับฝรั่ง ทำงานเป็นทีม คนทำงานจบการเงินและผ่านการอบรมมาโดยตรง ผ่านหลักสูตร CFA คนเก่งๆบ้านเราก็เริ่มมาเรียนสายนี้มากขึ้น
กองทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทได้ง่ายดาย เพียงแค่นัดพบผู้บริหารหรือโทรไปหาผู้บริหารโดยตรงก็สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้  ทำงานเต็มเวลา  และมีขนาดกองทุนและเงินที่ใหญ่โต

ถ้าไม่แน่ใจว่าตนเองเล่นหุ้นเก่งกว่าผู้เล่นส่วนใหญ่แล้วล่ะก็...ผมแนะนำให้ลงทุนในกองทุนหุ้นดีกว่าครับ ให้มืออาชีพบริหารแทน

1.3 บริษัทหลักทรัพย์ – โบรกเกอร์ สามารถเขียนบทวิเคราะห์ให้นักลงทุน ทั้งรายย่อยและสถาบันอ่าน ถ้าโบรกเกอร์ต้องการให้หุ้นที่ตนเองเก็บไว้ในพอร์ตวิ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ที่จะใช้วิธีออกบทวิเคราะห์เพื่อชี้นำตลาด ไม่ว่าจะเป็นปล่อยของหรือเก็บของ

บทวิเคราะห์จะออกมาเมื่อหุ้นเคลื่อนไหวไปแล้วเสมอ...ราคาที่โบรกเกอร์ให้เกือบทั้งหมดจะตามการเคลื่อนไหวราคาในช่วงนั้น ถ้าราคาขึ้นโบรกเกอร์จะปรับเป้าหมายให้สูงขึ้นไปอีก ถ้าราคาลงจะปรับเป้าลดลงไปเรื่อยๆ...

คนที่ซื้อตามโบรกเกอร์...ได้กำไรจนมั่งคั่งร่ำรวยหาได้ซักกี่คนกัน (มีอยู่จริงรึเปล่าเถอะ...ถ้าง่ายแบบนั้นก็คงรวยกันไปหมดแล้ว)

1.4 นักลงทุนรายใหญ่ – คนที่มีบทบาทในกลุ่มนี้จะเป็น เจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เซียนหุ้น เจ้ามือหุ้น นักการเมือง

- เจ้าของบริษัท มักจะเป็นคนที่ถือหุ้นมากที่สุดในบริษัท รู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบริษัท เข้าใจสภาพธุรกิจของตนเองดีกว่าใครๆ...รู้ความเป็นไปเร็วกว่านักลงทุนทุกคนในตลาด ให้ข่าวที่ส่งผลต่อราคาหุ้นได้

- ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คนเหล่านี้ต่อสายตรงถึงเจ้าของบริษัทได้ทันที รู้ข้อมูลเร็วกว่านักลงทุนทั่วๆไป เวลาออกของ(ขายหุ้น)ก็มีผลต่อราคาหุ้นในกระดานมาก

- เซียนหุ้น นักลงทุนกลุ่มนี้เป็นคนที่สามารถชี้นำ และโน้มน้าวให้สาวกซื้อหุ้นที่ตนเองถืออยู่ได้ผ่านวิธีการต่างๆ ...ในขณะที่เซียนบางคนเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า(Value investment) ที่มีประวัติการลงทุนที่ยอดเยี่ยม มีประสบการณ์การลงทุนที่ยาวนาน ไม่ต้องโน้มน้าวใดๆ แค่มีคนรู้ว่าถือหุ้นตัวไหน หรือมีชื่อติดอยู่ในชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่เท่านั้นแหละ...ราคาทะยานขึ้นทันที ขนาดบอกไม่ให้ซื้อตามคนยังซื้อตามเลย เพราะสาวกเชื่อว่าเซียนวิเคราะห์มาดีแล้ว ตนเองคิดอ่านอย่างไรก็คงสู้เซียนไม่ได้ ขอเป็นผู้ตามดีกว่า นักลงทุนเหล่านี้จะทำให้การค้นหาหุ้นราคาถูกทำได้ยากขึ้น เพราะเมื่อพวกเขาหาหุ้นเจอและเอามาบอกในเวปบอร์ด ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเก็บหมดแล้ว และวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนมาก่อนแล้ว การคุยในเวปเป็นเพียงการโฆษณาว่าฉันถือหุ้นตัวนี้อยู่เท่านั้น เพื่อจะทำให้เกิดการขับดันราคาเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริงเร็วขึ้นจากการซื้อตามของนักลงทุนคนอื่นๆ คงไม่มีเซียนคนไหนเข้ามาวิเคราะห์หุ้นในทางบวกขณะที่ตนเองยังไม่ได้เก็บหรอก นักลงทุนกลุ่มนี้จึงทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะราคาจะใกล้เคียงมูลค่าเร็วขึ้น แต่ราคาไม่ใด้สะท้อนมูลค่าตลอดเวลาจะมีช่องว่างที่เหลือตอนที่พวกเขาเริ่มเข้าเก็บจนมาบอกนักลงทุนคนอื่นๆ  รวมถึงอารมณ์ของตลาดที่ทำให้ตลาดยังไม่มีประสิทธิภาพและมีช่องว่างให้เข้าทำกำไร

เซียนหลายๆคนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกด้วย บางคนเป็นนักลงทุนอาชีพ ไม่ต้องเสียเวลามาทำงานประจำแบบคนทั่วไป ทำให้ศึกษาและมีเวลาติดตามบริษัทได้อย่างละเอียดมาก

- เจ้ามือหุ้น นักลงทุนกลุ่มนี้จะทำงานเป็นทีม เข้าสิงสถิตอยู่ในหุ้นตัวใดตัวนึง เพื่อทำการปั่นหุ้น โดยเมื่อก่อนจะเป็นการปั่นหุ้นเน่า หุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน โดยสร้าง volume และกราฟ เพื่อหลอกให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาช่วยไล่หุ้น และยัดของใส่มือเมื่อราคาถึงยอดดอยในที่สุด โดยมาหุ้นที่ทำการปั่นจะเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็ก ใช้เงินไม่มากก็ปั่นหุ้นได้ รวมถึงอาจจะร่วมมือกับเจ้าของบริษัทเพื่อปล่อยข่าวดีในช่วงที่จะทำการปั่นหุ้นอีกด้วย
ในปัจจุบันหุ้นที่เจ้ามือปั่นอาจจะไม่ใช่หุ้นเน่าอีกต่อไป เจ้ามือหันมาปั่นหุ้นที่มีพื้นฐาน บางครั้งอาจจะเป็นหุ้น IPO คนที่เล่นหุ้นต้องรู้ว่าราคาเกินมูลค่าหรือยังจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของเจ้ามือหุ้น และเหยื่อของความโลภของมวลชน
-นักการเมือง นักลงทุนกลุ่มนี้ บางคนมีหุ้นในชื่อของตนเอง บางคนใช้นอมินีถือหุ้น การที่พวกเขามีอำนาจใน มือสามารถให้ข่าวหรือนโยบายที่ผลต่อราคาหุ้นได้อย่างง่ายดาย

...อย่าลืมว่าผู้เล่นทุกคนล้วนแต่เข้ามาหากำไร...ไม่ได้เข้ามาเพื่อให้ใครเชือด ไม่ได้เข้ามาแจกเงินใคร อย่าโวยวาย...
แล้วนักลงทุนรายย่อยธรรมดาอย่างเราๆ จะเอาอะไรไปสู้กับนักลงทุนรายใหญ่เหล่านี้

2 ไม่มีใครรู้อนาคต

การลงทุนนั้นเป็นการเล่นกับความน่าจะเป็น ไม่มีความแน่นอน แม้ว่าโอกาสที่สำเร็จจะมีมากแต่ก็ไม่ใช่ 100 เปอร์เซ็นต์ คนที่อยู่ในตลาดหุ้นต้องเจอกับความเสี่ยงทั้งสิ้น ไม่ว่าคุณจะเก่งมาจากไหน มีเงินมหาศาลขนาดไหน ก็ไม่มีทางจำกัดให้ความเสี่ยงเป็น 0
ไม่ว่าจะเป็น Systemic risk ที่โดนทั้งระบบ เช่น ดอกเบี้ยขึ้น เงินเฟ้อ ปัญหาการเมือง ความวุ่นวายภายในประเทศ ปัญหาสภาพคล่องของระบบการเงินโลกที่กระทบมาเป็นทอดๆ ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เครื่องบินชนตึก การก่อการร้าย ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ โรคระบาดแปลกๆที่มนุษย์ยังไม่เคยพบ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ราคาหุ้นดำดิ่งได้ทั้งสิ้น

หรืออาจจะเป็น non-systemic risk เช่น บริษัทล้มละลาย ถูกฟ้องร้อง สามารถใช้การกระจายความเสี่ยงช่วยได้ แต่แน่นอนว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นยังงัยก็ส่งผลต่อราคาหุ้นแน่นอน ซึ่งส่งผลต่อพอร์ตโดยรวมเช่นกัน

การถือหุ้นจึงเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าไพ่ที่คว่ำอยู่เมื่อหงายออกมาจะเจออะไร ทุกคนจึงเท่าเทียมกันในประเด็นนี้

3. มนุษย์มักใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ

แน่นอนว่าคู่แข่งที่อยู่ในตลาดหุ้นล้วนแต่น่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนที่อยู่ในตลาด สถาณการณ์เศรษฐกิจ แต่ยังมีคู่แข่งที่น่ากลัวอีกอย่างคือ...ใจเราเอง นักลงทุนหลายๆคนตกเป็นทาสของอารมณ์ อาจจะตามอารมณ์ของตลาด ขายหุ้นเพราะความกลัว ซื้อหุ้นเพราะความโลภ โดยไม่ดูเครื่องมือหรือเหตุผลที่ตนเองใช้ การถือตัวตนว่าตนเองเก่ง (Overconfidence) เจอได้มากในตลาดหุ้น และทำให้นักลงทุนทั่วไปเสี่ยงเกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยไม่ได้บริหารความเสี่ยงเลย การไม่รู้จักรับฟังความเห็นของผู้อื่น ดูถูกตลาดหุ้น คิดว่าตนฉลาดกว่าใครๆ ทำคนขาดทุนมามากแล้ว นอกจากนั้นการหลงทำตามคนส่วนใหญ่ (Herd behavior) โดยไม่ใช้เหตุผลก็ทำคนขาดทุนมากมายเช่นกัน และมีอคติอื่นๆอีกมาก

การควบคุมจิตใจตนเองจัดว่าเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายอีกอย่างของการลงทุนในหุ้น

นี่คือความน่ากลัวของตลาดหุ้นที่ผมอยากจะแจกแจงให้ฟัง...เพื่อไม่ให้นักลงทุนมือใหม่มองภาพตลาดหุ้นสวยหรูเกินจริง คิดว่าจะรวยได้ในเวลาอันสั้น

ถ้างั้นทำอย่างไรดี คนธรรมดาอย่างผม อย่างเราๆ ที่ทำงานประจำ (แม้ผมมีเงินปันผลที่อยู่ได้ทั้งปีแล้วแต่ด้วยทางบ้านให้ทำงานไปต่อตลอดชีวิตและงานของผมก็เป็นงานที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ผมจึงยังทำงานประจำต่อไป ไม่เกี่ยวกับขนาดพอร์ต) ที่ไม่ค่อยมีเวลาเผ้ากระดานหุ้น ที่มีเวลาบ้างแค่ตอนวันหยุด(ถ้าได้หยุดอ่ะนะ) ที่ไม่ได้สัมผัสกับผู้บริหารโดยตรง ที่ไม่ได้มีเพื่อนเป็นกลุ่มเทพเซียน กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ที่ไม่ได้มีเงินเป็นพันล้าน ที่เป็นคนสุดแสนจะธรรมดา จะสามารถอยู่รอดและทำกำไรได้จากตลาดหุ้น รวมถึงชนะตลาด

คำแนะนำของผม (เป็นวิธีที่ผมใช้อยู่)

1. หาข้อมูลตามเวปต่างๆ เช่น SET SETTRADE จะมีข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนทั้ง รายงานประจำปี แบบ 56-1 งบการเงินให้โหลดมาอ่านได้ฟรี Opportunity day ซึ่งดีมากๆ มีบันทึกการมาพบผู้ลงทุนโดยผู้บริหาร สามารถดูย้อนหลังได้ โดยจะมีข้อมูลที่สำคัญๆของบริษัท รวมถึงคำถามจากนักลงทุน ซึ่งค่อนข้างดีมาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่เราอยากถามเกือบทั้งสิ้น รวมถึงเรายังส่งคำถามไปถามผู้บริหารทางเนตในขณะนั้นได้อีกด้วย

2. หาข้อมูลการซื้อขายของผู้บริหารจากเวป http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/daily59.php  ซึ่งแน่นอนว่าผู้บริหารนั้นรู้ดีกว่านักลงทุนรายย่อยมาก การเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากๆจากผู้บริหารคนเดียวหรือหลายๆคน ย่อมเป็นสัญญาณบวก ที่พวกเขาคิดว่าราคาหุ้นในกระดานนั้นถูกเกินไป หรอจะมีข่าวดีที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นก็เป็นได้ ทั้งนี้ต้องระวังการซื้อตามโดยไม่คิด เพราะเราก็อาจจะขาดทุนได้เช่นกัน เพราะผู้บริหารก็คือคนธรรมดาที่ไม่รู้อนาคต เราต้องวิเคราะห์และรับความเสี่ยงเช่นเดิม ส่วนการขายหุ้นอาจจะเป็นทั้งสัญญาณลบ ที่ผู้บริหารคิดว่าหุ้นแพงเกินไปหรือ อาจจะไม่มีอะไรต้องการเองเงินออกมาใช้เฉยๆก็ได้ ดังนั้นการขายหุ้นตามผู้บริหารใช่ว่าจะได้ราคาดีเสมอไป ต้องคิอและตัดสินใจเองอยู่ดีครับ
(ข้อ 1-2 เป็นของนักลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานนะครับ ถ้าคนเล่นเทคนิคอาจจะต้องดูกราฟแทน)

3. การอ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจต่างๆ

4. การเข้าไปอ่านกระทู้ในเวปบอร์ด เช่น Thaivi.org,  pantip.com ก็ทำให้เราเห็นมุมมองของคนอื่นๆมากขึ้น ไม่ใช่คิดเองเออเองอยู่คนเดียว และอย่าลืมแยกให้ออกระหว่างความเห็นและข้อเท็จจริงนะครับ

5. หัดวิเคราะห์หุ้นเอง คำนวณมูลค่าที่น่าจะเป็นเด้วยตนเอง จะทำให้เรากล้าซื้อและกล้าถือหุ้นตัวนั้นมากขึ้น ถ้าซื้อตามคนอื่น เวลาเราขาดทุนคนอื่นรับผิดชอบแทนไม่ได้ และเราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยเมื่อเวลาผ่านไป การฝึกวิเคราะห์หุ้นนั้นเป็นทักษะ เมื่อทำบ่อยๆจะเก่งขึ้น รู้จักตั้งและตรวจสอบสมมุติฐานของตนเอง

6. หัดสังเกตสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน บางครั้งการเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคบางอย่างจะทำให้เราได้ไอเดียไปศึกษาหุ้นก่อนที่ใครๆจะมองเห็นก็เป็นได้ เช่น คนซื้อ smart phone เพิ่มขึ้น คนพากันถอยรถป้ายแดง ศูนย์การค้าวันหยุดคนเดินมาก เนตเป็นที่นิยม เป็นต้น

7.ฝึกฝนและสร้างระบบการเล่นหุ้นของตนเอง แรกๆอาจจะเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าและเป็นวิธีที่เข้าได้กับนิสัยของเราไปก่อน เช่น คนใจร้อนกล้าได้กล้าเสีย อาจจะเหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น เป็นต้น (อย่างผมชอบหุ้นโตเร็ว ลงทุนถือยาวๆ) โดยระบบนั้นต้องได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่ากำไรคาดหวังเป็นบวก (Expect profit) ซึ่งจะทำให้อยู่รอดในตลาดได้ระยะยาว ไม่เจ๊งไปก่อน

8. ฝึกฝนจิตใจ ให้ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ มีสติและรู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ควบคุมตนเองให้ได้ บางทีการห่างหน้าจอบ้างจะทำให้ถูกชักจูงจากนายตลาดได้น้อยลง แค่ควบคุมจิตใจให้มีเหตุผลได้ก็เหนือกว่าคนส่วนใหญ่ในตลาดแล้ว...ไม่ต้องวิเคราะห์หรือเห็นอนาคตมากมายเลย แต่ถ้าคุณทำได้ทั้ง 2 อย่าง ทั้งวิเคราะห์เก่งเห็นอนาคต ทั้งควบคุมจิตใจได้ ก็ย่อมต้องถือว่าบรรลุขั้นเซียน

ลองฝึกฝนไปเรื่อยๆดูครับแล้วจะรู้ว่า...การลงทุนในหุ้นไม่ยากอย่างที่คิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น