วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หุ้นโรงแรม

พอดีจำได้ว่ามีคนให้วิเคราะห์หุ้นรายตัวให้ฟังบ้าง  ผมจะทยอยวิเคราะห์แต่ละอุตสาหกรรมให้เป็นแนวทางแก่ผู้เริ่มต้นนะครับ จริงๆอยากจะสอน Valuation ด้วยแต่เหมือนจะเป็นการเชียร์ ชี้นำซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้อ่านเลยครับ

ลองกลุ่มแรกก่อนนะครับ – หุ้นโรงแรม

ความน่าสนใจในกลุ่มโรงแรมโดยรวมของปีนี้

1.นักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นทุกๆปี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปเรื่อยๆ  แม้ว่าประเทศไทยจะมีปัญหามากมาย ล่าสุด 15.7 ล้านคน  ปีนี้ Q1 5.36 ล้านคนแล้ว  โดยกลุ่มที่เติบโตสุดคือ  จีน  รัสเซีย  ที่เศรษฐกิจประเทศเหล่านี้ดีขึ้น  คนมีกำลังทรัพย์มาเที่ยวมากขึ้น

2.ประเทศไทยมีจุดแข็งเรื่องการท่องเที่ยวในระดับโลก เนื่องจาก  1) สภาพอากาศที่อบอุ่น  คนทางยุโรปโซนเมืองหนาวเลยชอบมา 2) ไทยมีภูมิประเทศที่สวยงามและมีชื่อเสียงในระดับโลก  เช่น  เกาะสมุย  พัทยา  ภูเก็ต  เชียงใหม่  โดยเฉพาะชายทะเล 3) ความเอื้อเฟื้อมีไมตรีของคนไทย คนไทยทำอาชีพนักบริการได้ดีมาก  4) ราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ

3.การท่องเที่ยวภายในประเทศสูงขึ้น  คนไทยมีกำลังซื้อมากขึ้น ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว  พฤติกรรมคนไทยชอบเที่ยว

ความเสี่ยงของกลุ่มโรงแรมในปีนี้

1.ปัญหาการเมือง  ความรุนแรงไม่สงบหลังเลือกตั้ง  มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

2.ดอกเบี้ยขาขึ้น   ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น

3.อ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจโลก  เวลาเศรษฐกิจมีปัญหา  ค่าใช้จ่ายที่คนจะตัดก่อนเลยคือ  ค่าการท่องเที่ยวสันทนาการ และพวกของฟุ่มเฟือยต่างๆ

4.ภัยธรรมชาติ  การก่อการร้าย

จุดแข็งของการลงทุนกลุ่มโรงแรม

1.เป็นธุรกิจที่รัฐบาลสนับสนุน  เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศไทย  รวมถึงเป็นจุดแข็งของประเทศไทยทีมีแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรมที่สวยงาม

2.กระแสเงินสดดี  เพราะมีการตัดค่าเสื่อมราคาที่สูง ทำให้มีเงินเพียงพอที่จะสร้างโรงแรมเพื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆ (แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะต้องเพิ่มทุนเช่นกัน  เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง)

3.สามารถปรับราคาห้องขึ้นได้เรื่อยๆตามเงินเฟ้อ  ตามเทศกาลช่วง high season

จุดอ่อนของการลงทุนกลุ่มโรงแรม

1.คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ง่าย  เพียงมีเงินทุนและที่ดินทำเลดีซักผืนก็สามารถสร้างโรงแรมได้สบายๆ

2.การเติบโตทำได้ไม่เร็วนัก  เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูง อาจจะต้องเพิ่มทุนหลายครั้ง

3.ผลตอบแทนต่อการลงทุนมักจะไม่สูงนัก ทำให้ต้องกู้เงินปริมาณมากมาเพื่อการเติบโตและสร้างกำไรให้สูงขึ้น  เพื่อให้ ROE สูงขึ้น (Return on investment)

4.ผลตอบแทนของโรงแรมจะคิดเป็นรายวัน  ทำให้คาดการได้ไม่แม่นยำนัก  ยิ่งความอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจยิ่งทำให้การคาดการณ์ผู้เข้าพักที่แน่นอนทำได้ลำบาก  แม้ว่าจะมีการจองห้องพักล่วงหน้าก็จริงแต่ก็สามารถยกเลิกได้

ความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มโรงแรม

1.ตราสินค้า  ชื่อยี่ห้อของโรงแรมมีผลต่อการเลือกของผู้เข้าพัก โรงแรมที่ชื่อเสียงดีคนมักจะเลือกก่อนโรงแรมที่ไม่มีใครรู้จัก ทำให้ห้องเต็มเร็วกว่าและสามารถขึ้นราคาค่าห้องได้อีกด้วย โรงแรมที่ใช้ตราสินค้าตนเองจะได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าโรงแรมที่นำตราสินค้าคนอื่นมาใช้  แต่ก็มีข้อดีคือมีลูกค้าประจำของตราสินค้านั้นๆไม่ลังเลที่จะมาพักได้เลย

2.การควบคุมต้นทุน  เนื่องจากค่าใช้จ่ายของโรงแรมมีมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าบริหารส่วนกลาง ค่าใช้จ่ายพนักงาน  ต้นทุนการเช่าห้อง  ค่าเสื่อมราคา  ดอกเบี้ยจ่าย  ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นต้นทุนคงที่ (Fixed cost)  โรงแรมที่ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีและสร้างรายได้เติบโตสูงกว่าต้นทุนจะมีกำไรมาก

3.การบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Asset Utilizaion) การปล่อยให้ห้องว่างๆในช่วง low season และมีคนมาพักเฉพาะ high season ถือเป็นการปล่อยให้สินทรัพย์เสื่อมราคาและมีค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์  การเพิ่มอัตราเข้าพักให้สูงขึ้นทั้งปีจะทำให้รายได้จากการลงทุนดีกว่า

4.การเลือก location ที่ดี มีนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก อาจจะเป็นย่านธุรกิจหรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ

ลูกค้าของกลุ่มโรงแรม

1.นักท่องเที่ยวต่างประเทศ  ส่วนใหญ่จะเอเชียตะวันออก เช่น จีน (กลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตสูงตามสภาพเศรษฐกิจที่สูงขึ้น) เอเชียใต้ เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง (มาเรื่อง medical tourism) และยุโรป

นักท่องเที่ยวกลุ่มเอเชียจะมาได้ตลอดทั้งปีเนื่องจากเดินทางใกล้และมีภูมิอากาศที่ใกล้เคียงกัน  ส่วนใหญ่จะพักโรงแรม 3-4 ดาว เนื่องจากมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ทำให้ต่อรองราคาได้มาก  กำไรที่โรงแรมได้จะลดลง  แต่จากจำนวนที่มากของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็จะชดเชยกันไป
นักท่องเที่ยวทางยุโรปและอเมริกาจะมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นนักนักธุรกิจ  พวกนี้จะมาตลอดทั้งปีและมักเข้าโรงแรม 5 ดาว  กลุ่มที่2 เป็นนักท่องเที่ยว จะมาตามฤดูกาล โดยนักท่องเที่ยวสูงสุดในไตรมาส 1 ส่วนไตรมาส 2 จะต่ำที่สุดเพราะอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว

2.นักท่องเที่ยวในประเทศ  ในบ้านเราก็มีการส่งเสริมการเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น  โรงแรมที่อยู่ตามต่างจังหวัดหรือตามสถานที่ท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์มากกว่าโรงแรมในกรุงเทพ

3.ลูกค้าร้านอาหารตามโรงแรม เช่น  บุฟเฟต์ต่างๆ  ผมเองก็ชอบไปกินบุฟเฟ่ต์ตามโรงแรมหลายครั้ง

4.กลุ่มธุรกิจที่มีการจัดสัมมนา  การอบรม  หรือการจัดงานแต่งงานต่างๆ

การเติบโตของโรงแรม

1.เลือกโรงแรมที่มีนโยบายขยายสาขา  เพราะรายได้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆต่างกับโรงแรมที่มีเพียงแห่งเดียวรายได้จะไม่เติบโต

2.เลือกโรงแรมที่มีรายได้อื่นๆนอกจากการเข้าพัก เช่น รายได้จากการเช่าที่  รายได้จากห้องอาหาร เพราะบอกถึงการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่ดี

3.เลือกโรงแรมที่มีอัตราการเข้าพักสูงขึ้น (Occupancy rate - OCC) อัตราค่าห้องพักที่สูงขึ้น (Available room rate – ARR) โดยตัวเลขทั้ง 2 มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว โดยตัวเลขทั้ง 2 จะใช้คำณวณรายได้โดยประมาณ

4.เลือกโรงแรมที่มีความเสี่ยงเพิ่มทุนน้อย D/E ไม่สูง-เพราะมีวงเงินกู้เพิ่มจากแบงค์ง่ายกว่า  กระแสเงินสดดี  กำไรจากการดำเนินงานสูง  (แต่กลุ่มนี้คงหลีกเลี่ยงการเพิ่มทุนยาก)

สิ่งที่น่าสนใจในกลุ่มนี้
หุ้นโรงแรมเป็นหุ้น  cyclic stock รายได้จึงตามภาวะเศรษฐกิจ  การเติบโตของรายได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  เพราะรายจ่ายจะเป็น Fixed cost (รายจ่ายคงที่) ถ้ารายได้ break even point (ถึงจดคุ้มทุน) ได้เมื่อไรกำไรจะสูงขึ้นมาก  แต่ถ้ารายได้ลดก็จะขาดทุนมากเช่นกัน  เวลาดูผลการดำเนินงานดูที่ กระแสเงินสด หรือดู EBITDA (กำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ดอกเบี้ย ภาษี) เป็นหลักนะครับ ถ้าดูแต่กำไรสุทธิจะมองภาพโรงแรมคลาดเคลื่อนไป

1 ความคิดเห็น:

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น