ช่วงที่ตลาดลงหนักจากพี่ฝรั่งขาย ผมมักจะได้คำถามจากมือใหม่ในทำนองนี้ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี ถ้าให้คำตอบบางอย่างไปแล้วคนฟังไปทำตามนั่นก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เช่น ถ้าบอกว่ารอรับที่ 900 ต้นๆ ถ้าหากรับแล้วดัชนีเกิดลงไป 700 – 800 ผู้ที่รับตามผมบอกก็อาจจะขาดทุนได้ หรือถ้าหากดัชนีไปไม่ถึง 900 แล้วเด้งขึ้นมาที่ 1000 กว่าๆก็จะเสียโอกาสในการรับของถูกในช่วงนี้ไปได้
เพราะการคาดการดัชนีเป็นสิ่งที่ยาก ไม่มีใครรู้อนาคต แม้แต่ในทางเทคนิค (ซึ่งผมไม่ใช่เทคนิคอลนะครับ) ยังต้องมีการประเมินแนวโน้มเป็นระยะๆเลยครับ เช่น ถ้าเกิดดัชนีลงไปถึงจุด A แล้วเด้งขึ้นจะมีแนวโน้มลงต่อ ขึ้นหรือซึมยาว เหตุการณ์มีโอกาสเกิดได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการปรับกลวิธีในการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนตามสถาณการณ์มากกว่า
ถ้าอย่างนั้นในช่วงตลาดขาลงอย่างนี้จะทำอย่างไรดี? รับที่เท่าไรดี?
คำแนะนำของผมนะครับ
1. ไม่พยายามทำกำไรโดยคาดเดาดัชนี เพราะเราลงทุนในหุ้นรายตัว แน่นอนว่าตลาดขาลงนั้นหุ้นเกือบทุกตัวลงหมด แต่ลงมากลงน้อยก็แล้วแต่หุ้นแต่ละตัว เซียนหุ้นอย่าง Peter Lynch หรือ Warren Buffet ก็ไม่ได้ทำกำไรจากการออกมาทำนายว่าดัชนีจะไปที่จุดไหน แต่ทำกำไรจากการลงทุนในบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ถ้าหุ้นที่เราจับตาใน watch list ยังไม่ถูกพอเราก็ยังไม่ควรเข้าไปซื้อ ส่วนที่ว่าถูกพอนี่คือแค่ไหน...คงแล้วแต่ MOS – Margin of Safety ของแต่ละคน รวมถึงประเมินกำไรคาดหวังก่อนเข้าซื้อ
ขอให้เน้นมองการลงทุนในหุ้นรายตัวมากกว่าภาพดัชนีโดยรวม (ยกเว้นว่าคุณจะเล่น TFEX)
อธิบายแนวคิดเรื่อง MOS – การซื้อโดยได้ส่วนลดราคาจากมูลค่าที่จริง เช่น ถ้าเราคำนวณมูลค่าหุ้น A ได้ 100 บาท ถ้าเรามี MOS 50% เราจะซื้อหุ้น A ที่ 50 บาท ถ้าเราต้องการ MOS แค่ 30% เราจะซื้อหุ้น A ที่ 70 บาท เป็นต้น ซึ่งแนวคิดนี้มาจากปรมาจารย์ท่าน Benjamin Graham บิดาแห่ง Value investment อาจารย์ของปู่บัฟเฟตต์ เนื่องจากการคำนวณมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท (intrinsic value) เป็นเรื่องมุมมองและความเห็นที่แตกต่างกันไปตามนักลงทุน (Subjective) บางทีอาจจะไม่ถูกต้องนัก การซื้อในราคาที่มีส่วนลดจะเป็นตัวที่ทำให้เราไม่ขาดทุนและทำกำไรได้แม้ว่าเหตุการณ์อาจจะไม่เป็นไปตามที่คิด เปรียบเหมือนการสร้างสะพานที่มีรถหนัก100 ตันวิ่งผ่านไปมา นักสร้างสะพานที่ดีคงไม่สร้างให้สะพานรับน้ำหนักได้แค่ 100 ตัน แต่อาจจะเพิ่มให้สะพานรับได้ถึง 130-150 ตัน หรืออาจจะมากกว่านั้น คนที่ข้ามสะพานนี้ก็จะรู้สึกปลอดภัยว่าสะพานจะไม่พังเวลารถวิ่งผ่านไปมา
ซื้อหุ้นที่ราคาตลาดถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง
2. มีทัศนคติที่ดีต่อตลาดขาลง คนที่ไม่ชอบความเสี่ยงความผันผวนของหุ้นมักจะเลิกเล่นไปในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง (คนเหล่านี้อาจจะกลับมาช่วงปลายตลาดกระทิง แล้วก็ติดดอยกันไป) หรือคนที่ยังไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นอยู่แล้วก็ยิ่งมีความคิดไม่มั่นใจกับตลาดหุ้นขึ้นไปอีก แต่สำหรับนักลงทุนที่เห็นตลาดหุ้นมานานจะรู้ว่าการขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นเรื่องปกติ เหมือนกระแสน้ำในทะเลที่มีขึ้นมีลง ราคาหุ้นก็ขึ้นลงตามแรงซื้อขายของนักลงทุนรวมถึงขึ้นลงตามผลประกอบการณ์ของบริษัทเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดามากๆ
ขอให้มองตลาดขาลงให้เป็นโอกาสในการเข้าลงทุน
3. อย่าฝืนตลาด เมื่อตลาดเป็นขาลงถ้าหากมีเงินสดอยู่ให้รอจนหุ้นไหลลงไปเรื่อยจนหยุดนิ่งก่อน มีสุภาษิตที่บอกว่า “อย่าไปรับมีดที่ตกลงมาจากบนฟากฟ้า” บางที่เราเห็นว่าถูกแล้วยังมีถูกกว่า เมื่อหุ้นตก 5-10 % จากจุดสูงสุด โดยที่ upside ที่เหลือก็ไม่ได้มาก รวมถึงดัชนีก็อยู่สูงมากแล้วกำลังตกลงมา (โดยอาจจะประเมินจาก PE ตลาด หรือ earning yield gap) แล้ว downside มาก การรีบเข้าไปรับหุ้นเพื่อหวังเด้งเล็กน้อยขอกำไร 5-10 % อาจจะทำให้ขาดทุนอย่างมาก ได้ไม่คุ้มเสียครับ
นอกจากนั้นการลดลงของดัชนีอาจจะใช้เวลาเป็นเดือน หรือหลายๆเดือน เนื่องจากฝรั่งมีพอร์ตขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลาปล่อยของหรือปรับพอร์ตพอสมควร ระหว่างนี้ตลาดอาจจะไม่ได้ลงทุกวันแต่อาจจะขึ้นๆลงๆ เพียงแต่แนวโน้มจะลงมากกว่า ซึ่งการประเมินแรงขายของฝรั่งอาจทำโดย ดูจำนวนหุ้นในมือของฝรั่งจากรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่บวกกับจำนวน Thai NVDR ยิ่งหุ้นอยู่ในมือฝรั่งมาก โอกาสที่ราคาลงมากๆจากฝรั่งขายเอาเงินออกย่อมมีสูงตามกัน นั่นยังไม่รวมถึงรายย่อยที่ตามมา Cut loss หรือคนที่โดน Force sell บังคับขายเงินในบัญชีมาร์จิ้น ราคาหุ้นยิ่งลดลงไปได้อีกมาก
อย่าฝืนตลาด...ทำตัวเป็นกิ่งไม้ลู่ลมดีกว่าจะไปต้านกระแสธารอันเชี่ยวกราก
4. เลือกรับหุ้นให้ถูกตัว ในตลาดหมี (Bear Market) หรือการปรับฐาน (Market correction) รวมไปถึงภาวะวิกฤต (Crisis) ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นล้วนลดลงในอัตราส่วนที่ต่างกันไป หุ้นรายตัวเกือบทั้งหมดก็มีการลดลงเช่นกัน แต่ในการลดลงของราคาหุ้นจะมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ ผมจะแจกแจงให้ฟังดังนี้
4.1 หุ้นที่ราคาลดลงมากกว่าตลาด หรือหุ้นที่ทำ New low จุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง การเข้าไปรับอาจจะทำให้ขาดทุนได้ ระหว่างที่ราคาไหลลงเรื่อยๆให้เข้าไปดูว่ามีพื้นฐานที่ดีหรือมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาดที่กำลังลดหรือไม่? โดยส่วนใหญ่หุ้นกลุ่มนี้จะมีข่าวร้ายหรือพื้นฐานบริษัทแย่ลง นั่นก็เป็นไปตามแนวคิดตลาดมีประสิทธิภาพ ราคาหุ้นกำลังบอกถึงพื้นฐานของตัวมันเอง แต่แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกรณี อาจจะมีโอกาสซ่อนอยู่
เช่น บริษัทนั้นมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาทำกำไรได้เหมือนปกติในอนาคต, บริษัทประสบปัญหาระยะสั้นที่แก้ไขได้, การลดของราคาไม่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานแต่มากจากพฤติกรรมที่ไร้เหตุผล การตื่นตระหนก การใช้เงินกู้มาเล่นหุ้นมากๆจึงต้อง cut loss
4.2 หุ้นที่ราคาลดลงน้อยกว่าตลาด หุ้นแบบนี้มักจะมีพื้นฐานบางอย่างค้ำไว้อยู่ เช่น มีกำไรที่แน่นอนไม่กระทบจากเศรษฐกิจโดยรวมหรืออาจจะเป็นขาขึ้นของธุรกิจนั้นๆ หรือมีปันผลในเปอร์เซ็นต์ที่มาก
แต่ก็อาจจะไม่แน่เสมอไป ดังนั้นนักลงทุนควรจะเข้าไปดูหุ้นกลุ่มนี้ว่า บริษัทมีจุดแข็งใดที่ค้ำยันไว้ ถ้าประเมินแล้วบริษัทมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาดมากก็เข้าซื้อได้
ทั้ง 2 กรณี เป็นการประเมินพื้นฐานคร่าวๆจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดตลาดมีประสิทธิภาพที่บอกว่าทุกอย่างได้สะท้อนไปในราคาตลาดจนหมดแล้ว แต่เนื่องจากผมซึ่งเชื่อตามปู่บพัฟเฟตต์ว่า ตลาดไม่ได้มีประสิทธิภาพตลอดเวลา ดังนั้นการดูการลดลงราคาหุ้นอาจจะบอกถึงความแตกต่างของพื้นฐานที่แข็งแรงอ่อนแอได้บ้าง แต่เราไม่ควรจะเอาราคาเป็นตัวนำ ควรจะเข้าไปศึกษาประเมินพื้นฐานโดยตรงใหม่อีกครั้งมากกว่า
เพราะนั่นอาจจะหมายถึงโอกาสดีๆที่ซ่อนอยู่
ในวิกฤติย่อมมีโอกาส
ขอให้ทุกคนคว้าโอกาสดีๆในการลงทุนไว้ได้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น