วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พฤติกรรมมนุษย์และตลาดทุน (ตอนพิเศษ) Anti-Overconfidence

ขออธิบายสำหรับเพื่อนๆนักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาใหม่  Series  พฤติกรรมมนุษย์และตลาดทุน  เป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการลงทุนในหัวข้อต่อไปนี้

1.  Efficient  market  hypothesis  ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ
2.  Behavioral  finance  การเงินเชิงพฤติกรรม
3. Reflexivity  หลักปฎิกริยาสะท้อนกลับ
4. Consumer behavior and  life style  พฤติกรรมผู้บริโภคและวีถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม
5. Mr. Market  นายตลาด
6. การฝึกพัฒนาจิตใจสำหรับนักลงทุน  เพื่อให้หลุดพ้นไปจากอคติทางจิตใจต่างๆที่คอยชี้นำเราอยู่  และได้ผลตอบแทนทั้งตัวเงินและความสุขใจครับ

โดยผมพยายามจะเขียนบทความจิตวิทยาการลงทุนประมาณเดือนละครั้ง  เนื่องจากผมให้ความสำคัญกับ Psychology  ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน

ในบทความพฤติกรรมมนุษย์และตลาดทุน(ตอนที่ 2) การรับรู้อันผิดเพี้ยน  ผมได้พูดถึงเรื่อง  Overconfidence –  ความมั่นใจเกินไป  ครั้งนี้ผมจะมาพูดถึงสิ่งตรงข้ามนั่นคือ การ Anti-Overconfidence 



คนเราทุกคนล้วนแสวงหาการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง  ตามทฤษฎีของมาสโลว์  Maslow  hierarchy of need  ซึ่งมีทั้งหมด 5 ขั้น

1. Physiological  need  ความต้องการทางร่างกาย
2. Safety  need  ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง
3. Love  and  Belonging  ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ
4. Esteem  ความต้องการการยอมรับนับถือจากตนเองและผู้อื่น
5. Self-actualization  ความต้องการที่เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง

โดยการต้องการการยอมรับจากสังคมและคนรอบข้างจะอยู่ในขั้นที่ 3 และ 4

คนเราคงหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีความต้องการยอมรับจากคนอื่นได้ยาก  แม้ว่าหลายครั้งความต้องการยอมรับจากคนอื่นจะนำมาซึ่งความทุกข์ใจก็ตาม

ถ้าเราอยากให้คนยอมรับโดยใช้วิถีทางที่ถูกต้องเหมาะสมก็ดีไป  แต่ในบางครั้งการพยายามเชื่อมั่นในตนเองจนเกินไปเพื่อให้คนยอมรับก็อาจจะนำมาซึ่งหายนะ  รวมถึงหายนะในการลงทุนด้วยครับ

ผมขอแชร์ประสบการณ์ของผมนะครับ

ตอนที่ผมกลับไปเป็นแพทย์ใช้ทุนปีแรกที่ รพ.ขอนแก่น  เป็นช่วงเดียวกับที่พ่อแม่ได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าที่หลังมหาวิทยาลัยขอนแก่นหลังแรก  ผมได้ดูแลเป็นผู้จัดการและทำงานที่รพ. ขอนแก่นไปพร้อมกัน  ผมรู้สึกตัวเองยิ่งใหญ่มากเพราะเป็นหมอหนุ่มอายุ 24 ปีและยังเป็นเจ้าของธุรกิจระดับหลายสิบล้าน  (ปัจจุบันได้ขยายกิจการมูลค่าอยู่ในระดับหลายร้อยล้านบาท  ปล. ทรัพย์สินของพ่อแม่  ไม่ใช่ของผมครับ)

แต่หลายๆครั้งผมรู้สึกอึดอัดใจเวลาที่  ยามไม่รู้จักผมเวลาที่ผมกลับไป  หรือไปร้านอาหารบริกรก็โค้งให้แต่พ่อแม่แต่กลับไม่สนใจผมเลย  เกิดอะไรขึ้น  ทำไมคนถึงไม่ให้ความสำคัญกับผม...พอพ่อแม่สังเกตเห็นว่าผมไม่สบายใจ  ท่านจึงสอนว่า...”ใครจะสนใจหรือไม่  ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ลูกให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีคุณค่าที่แท้จริงดีกว่า  เราเป็นเจ้าของอพาร์ตเม้นต์ต่อให้ใครรู้จักหรือไม่รู้จัก  อย่างไรธุรกิจก็ยังเป็นของเรา  นั่นคือของจริง  ...การทำความดีก็เช่นกัน  คำยกย่องสรรเสริญไม่ใช่สิ่งสำคัญ  ผลดีที่เกิดขึ้นกับทั้งตัวเราและผู้รับ...นั่นคือของจริง”

หลังจากนั้น  ผมตั้งใจว่าผมจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง  ไม่ใช่คำตำหนิหรือคำสรรเสริญของคนทั่วไปที่ไม่ได้รู้จักเราเลย

ทุกวันนี้ผมไม่สนใจเลยว่าคนทั่วไปจะสนใจผมหรือไม่...มันไม่มีความหมายอะไรต่อไปอีกแล้ว  อย่างผมไปแบงค์บริหารเงินเป็นล้านๆแต่พนักงานแบงค์เห็นหน้าก็ไม่ได้สนใจบริการคิดว่าเป็นแค่เด็กธรรมดาๆคนนึง  ผมก็ยิ้มได้  ก็จะไปสนใจทำไมเรามาแบงค์เพื่อบริหารเงินเราไม่ได้มาเพื่อให้ใครมายกย่อง

แต่เวลาคนเก่งๆยอมรับผมจะรู้สึกดีใจมากกกกกกกกกก... ^^

ผมบอกตนเองเสมอว่า...

“จงอ่อนน้อมถ่อมตน”

ในเรื่องการลงทุน  ผมบอกตนเองเสมอว่า...

ผมเป็นเพียงนักลงทุนรายย่อยคนนึงในตลาดหลักทรัพย์ที่เต็มไปด้วยคนเก่งๆมากมาย  (อ่านเพิ่มเติมในบทความ  ความน่ากลัวของตลาดหุ้น  นะครับ)  ยังต้องหมั่นฝึกฝนและพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง  เพื่อสักวันผมจะเก่งกาจเช่นคนเหล่านั้นบ้าง

ในวงการอื่นเรายังพอคาดเดาได้ว่า  คนเก่งน่าจะมีวุฒิการศึกษาสูง  มียศทางวิชาการ  มีเหรียญรางวัล  (ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไปนะครับ  อาจจะมาจากเส้นสายก็ได้)  แต่ในโลกของการเงินการลงทุนเป็นเรื่องยากที่จะการประเมินฝีมือการลงทุน  ผ่านสิ่งเห็นได้จากภายนอก  เพราะไม่มีการแบ่งระดับเป็นสายแดงสายดำ  มีแต่ผลตอบแทนระยะยาวเท่านั้นที่บ่งบอกฝีมือที่แท้จริง  ซึ่งเป็นผลมาจากการคิดวิเคราะห์และการฝึกตนเองอย่างยาวนาน

ในช่วงนี้ผมได้พูดคุยกับนักลงทุนเก่งๆหลายคนทั้งใน blog ผมเอง ทั้งในชีวิตจริง และทั้งในเวปบอร์ด  ทุกคนที่ผมรู้สึกว่าพวกเขาเก่งกาจมากมาย  พอคุยกันกลับกลายเป็นว่า...คนเก่งเหล่านั้นมองสิ่งต่างๆตามจริง  ทั้งข้อดีข้อเสีย  ถ่อมตัว  พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ  มีจิตใจที่สงบและเฉียบคม  ผมไม่รู้สึกถึงความมั่นใจเกินจริง  โอ้อวดหรือยกตนข่มท่านแม้แต่น้อยเลย

นี่สินะที่เค้าเรียกว่า...ยอดฝีมือ !!!

ช่างแตกต่างกับเวลาที่ผมคุยกับรายย่อยมือใหม่ที่เพิ่งมาสนใจหุ้นตอนตลาดดีมากๆ  หรือมือเก่าที่ไม่ยอมพัฒนาตนเอง  แต่ละคนดูมั่นใจในตนเองมาก  คุยโม้โอ้อวดถึงผลกำไร  บางคนคุยให้ผมฟังว่าได้กำไรเป็นหมื่นเป็นแสนบาท  ทำท่าทางราวกับเขาเก่งที่สุดในโลก  บางคนบอกว่าตนเองไม่เคยขาดทุนเลย  ผมฟังแล้วอึ้งและได้แต่เงียบๆ ยิ้มๆ ตอบไปว่า  “ยินดีด้วยครับ  เก่งมากเลย  เทพมากๆ”(ประชด)  แต่สีหน้าและในใจเอือมระอาเต็มทน  -_-“  บางคนยังไม่เคยเล่นหุ้นเลยก็มาทำท่าสั่งสอนผม  “ทำไมไม่ทำอย่างนั้นล่ะ  ทำไมไม่ทำอย่างนี้ล่ะ  ได้กำไร 10 เปอร์เซ็นต์แล้วทำไมไม่ขายออกไปล่ะ  น่าจะพอใจได้แล้วนี่  บลาๆๆๆ”  ผมก็ได้แต่ตอบ “ครับๆๆๆ”  แต่สีหน้ากลับเซ็งเต็มทน  บางคนคิดว่าตนเองมีความสามารถในการคาดเดาดัชนีได้  ผมก็ได้ปล่อยให้พวกเขาจมอยู่กับความคิดของพวกเขาต่อไป

แม้แต่นักเก็งกำไรชั้นเซียนอย่าง จอร์จ  โซรอส ยังบอกว่าตนเองไม่สามารถคาดเดาดัชนีได้,  นักลงทุนระดับโลกอย่างปู่บัฟเฟตต์ยังเคยขาดทุน (เช่น กรณี  U.S Air, Conoco Phillips)  ,  เซียนหุ้นอย่าง ปีเตอร์  ลินส์ ยังเคยทำผิดพลาด (เช่น กรณี Home depot) ,  ซึ่งนักลงทุนระดับโลกเหล่านี้ทำกำไรได้ระดับหมื่นล้านแสนล้านบาท...แล้ว ” คุณเป็นใคร?? ”

ช่าง  Overconfidence  กันเหลือเกิน...-_-“  และคนเหล่านี้คือนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด  ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้น  ขณะที่คนเก่งๆรวยขึ้นเรื่อยๆ

มหาสมุทรอันยิ่งใหญ่และกว้างไกลจะอยู่ต่ำที่สุดเพื่อรับสายน้ำจากแม่น้ำทุกแห่ง

เช่นเดียวกัน... คนระดับสุดยอดอ่อนน้อมถ่อมตน  มั่นใจในตัวเองตามความจริง  ความมั่นใจเหล่านั้นพิสูจน์ด้วยผลงานอันยาวนาน  ไม่หยุดเรียนรู้และพัฒนาตนเอง  ที่สำคัญคือไม่ประมาทครับ

การมี  Overconfidence  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เพราะเราก็เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา  เพียงแต่ขอให้รู้ทันความคิดเหล่านี้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย  และมองให้เห็นความจริงว่าเราก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งบนโลกใบนี้  ไม่โอ้อวด  พัฒนาตนเองต่อไป

ยิ่งผมศึกษาผมกลับพบว่าเรายิ่งไม่รู้อะไรเลยครับ  โดยเฉพาะศาสตร์ด้านการลงทุนในหุ้นที่มีความคลุมเคลือเพราะพูดถึงอนาคต  มีหลายสำนักต่างๆมากมาย  มีหลากหลายความเชื่อ...

ดังนั้นไม่ว่าจะต้องการมีความสามารถทางด้านใดก็ตาม  สิ่งที่ควรนำออกไปจากจิตใจคือความมั่นใจที่เกินความจริง (Overconfidence)  ให้เหลือเพียงความมั่นใจตามจริง (Confidence)

จงอ่อนน้อมถ่อมตน  หมั่นเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ  แล้วสุดท้ายความสำเร็จในทุกสิ่งจะเป็นของคุณ  รวมถึงความสำเร็จในการลงทุนด้วยครับ

ดาบเหล็กกล้าที่คมกริบในฝัก...ย่อมดีกว่าแท่งเหล็กทื่อๆขึ้นสนิมที่พยายามแกว่งโชว์พาวแน่นอนครับ

ปล.  ผมขอฝากโคลงโลกนิติ์บทนึงนะครับ

นาคีมีพิษเพี้ยง                       สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช                      แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส                  แมงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า                      อวดอ้างฤทธี

3 ความคิดเห็น:

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น