ในช่วง 1 ปีหลังจากลงทุนในตลาดหุ้น (ปี 53) ผมได้พัฒนาหลักสูตร “การบริหารการเงินส่วนบุคคลและการลงทุน” เพื่อสอนนักลงทุนทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การลงทุนเลย โดยผมตั้งใจว่าจะให้ครอบคลุมแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญของการลงทุนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในเวลา 2 – 3 ชั่วโมง
โดนแรงบันดาลใจในการสอนมาจาก รุ่นน้องที่ภาควิชา 2 คน ที่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้น และผมเองก็ต้องการแบ่งปันความรู้ให้กับคนอื่นอยู่แล้ว เนื่องจากตอนผมเริ่มต้นไม่มีคนสอนลงทุนเลย ผมจึงอยากมอบโอกาสให้คนอื่นๆได้สิ่งที่ผมไม่เคยได้
สำหรับหลักสูตรนี้ผมสอนมาแล้ว 7 ครั้งให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆรวมถึงคนรู้จักรอบตัวผม และตั้งใจจะแชร์ให้กับบุคคลทั่วไปได้มีโอกาสบ้าง
การที่ผมเป็นมือใหม่ที่ลงทุนมาไม่นาน และผ่านช่วงความยากลำบากในการเรียนรู้ช่วงเริ่มต้นทำให้ผมเข้าใจว่ามือใหม่ต้องการอะไรติดขัดตรงไหน โดยที่คนมีประสบการณ์หรือเซียนอาจจะไม่เข้าใจคนที่กำลังเริ่มต้นเท่าไรนัก
โดยหลักสูตรนี้ฟังได้ตั้งแต่คนที่ไม่รู้อะไรเลย...ไปจนถึงนักลงทุนที่ลงทุนมาแล้วหลายปีครับ
ปล. ผมสอนฟรีนะครับ (เป็นวิทยาทาน) สอนทุกคนที่ตั้งใจอยากเรียน (แต่ไม่รับคนไม่ตั้งใจจริง ไม่รับคนต้องการมาขอหุ้นโดยไม่คิดจะทำการบ้าน ไม่รับคนที่ต้องการมาลองภูมิครับ เนื่องจากผมต้องเสียเวลาและแรงกายค่อนข้างมากจึงอยากเสียสละให้คนที่ต้องการจริงๆครับ) และขอให้มีอย่างน้อยครั้งละ 5 คนขึ้นไป (ยิ่งนักเรียนเยอะเท่าไรยิ่งดี) เพื่อให้ผู้เรียนได้ประโยชน์จากการแชร์ความคิดกัน และใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่งครับ รวมเวลาตอบคำถามก็ประมาณ 3 ชั่วโมงครับ
ปล.2 update 14 มี.ค. 55 ผมของดสอนอย่างไม่มีกำหนดนะครับ เนื่องด้วยติดภารกิจทั้งเรื่องงาน การเรียนและครอบครัว ขอบคุณทุกคนที่สนใจนะครับ ผมเองก็ยังอยู่ตรงนี้ มีคำถามอะไรสามารถโพสถามหน้า wall หรือใน blog ได้เลยครับ
การบริหารการเงินส่วนบุคคลและการลงทุน
ผมจะเขียนค่อนข้างสรุปนะครับ เพราะเนื้อหาเยอะมากจนหน้ากระดาษไม่พอ
1. การปรับทัศนคติเรื่องเงิน
- รับผิดชอบการกระทำและผลที่เกิดขึ้นกับตนเอง ไม่เอาแต่โทษคนอื่น ถ้าเปลี่ยนความคิดและการกระทำชีวิตจะเปลี่ยน
- เราคือผู้กำหนดโชคชะตาของตนเอง ผ่านการคิด การพูดและการกระทำ
- ความมั่งคั่งเริ่มต้นจากจิตใจ สิ่งที่เป็นรูปธรรมอย่างเงินทองเกิดจากสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างจิตใจ เหมือนรากอยู่ใต้ดินที่เรามองไม่เห็นได้คอยค้ำยันและให้อาหารต้นไม้จนมีการเจริญเติบโตและผลิดอกออกผลให้เรามองเห็น
- เงินไม่ใช่เป้าหมายของการมีชีวิต แต่เงินช่วยให้การไปถึงเป้าหมายทำได้ง่ายขึ้นมาก
- สิ่งที่สำคัญไม่ใช่เงินแต่เป็น “เวลา”
- ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การใช้กลยุทธ์ ต้องเชื่อมั่นว่าเราทุกคนมีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จ
- ความมั่งคั่ง ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากวาสนา แต่เกิดจากการลงมือทำด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง
- เงินเป็นเพียงของกลางๆ ...เงินไม่ใช่ความชั่วร้าย เงินไม่ใช่พระเจ้า เงินจะดีจะร้ายขึ้นอยู่กับผู้ใช้มัน จงใช้มันให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
- ตั้งเป้าหมายทางการเงินเขียนลงในสมุด ว่าจะมีเงินเท่าไรเป็นตัวเลขที่ชัดเจน เมื่ออายุเท่าไร จะมีเงินไปเพื่ออะไร (ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ)
2. สูตรความมั่งคั่ง
มี 4 ขั้นตอน – เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ออมเงิน นำเงินไปลงทุน
2.1 เพิ่มรายได้
- ทำงานที่ตนเองรัก เพราะโอกาสจะประสบความสำเร็จมีสูง พยายามพัฒนาความสามารถตนเองให้อยู่ในกลุ่มผู้นำของอาชีพ และเรียนรู้ตลอดชีวิต (จงทำงานที่ตนเองรัก แล้วเงินจะตามมาเอง)
- รายได้มาจากหลายทาง บางทีรายได้อาจจะมาจากอาชีพเสริมหรืองานอดิเรกที่เราชอบ
2.2 ลดรายจ่าย
- ใช้สินค้าคุณภาพดีเมื่อเทียบกับราคาที่ไม่แพง โดยอาจจะรอช่วงลดราคาสินค้า (Sale)
- ระมัดระวังการใช้บัตรเครดิต เพราะเป็นการเอาเงินอนาคตมาใช้
- ทำบัญชีรายรับรายจ่าย ลดหรืองดรายจ่ายที่ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิต
2.3 ออมเงิน
- Pay yourself first !! เมื่อได้รายได้มา ให้ออมเงินก่อนที่เหลือค่อยนำไปใช้จ่าย
- สูตรจะเปลี่ยนจาก (รายได้ – รายจ่าย = เงินออม) เป็น (รายได้ – เงินออม = รายจ่าย)
- ออมเงินให้ได้อย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ จำนวนเงินมากน้อยไม่เป็นไรขอให้สร้างนิสัยการออมที่ดีจะเป็นผลดีในระยะยาว
- การจัดสรรเงินออม – 1. เก็บเงินสำรองฉุนเฉินเท่ากับรายจ่าย 6 เดือนเผื่อว่าป่วยหรือออกจากงาน 2. นำไปช่วยเหลือผู้อื่น ทำบุญ ให้พ่อแม่ 3. นำเงินไปลงทุน ให้เงินทำงานแทนเรา
- ออมก่อนรวยกว่า เพราะช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยทบต้นจะนานกว่า
2.4 นำเงินไปลงทุน
- เป็นการใช้พลังของดอกเบี้ยทบต้นทำให้เงินออมงอกเงย
- การลงทุนต้องมีความสุข ข้อนี้สำคัญมากๆ ...ถ้าลงทุนแบบไหนแล้วเครียดหรือทำให้ชีวิตแย่ลงไม่ควรจะลงทุนครับ เพราะความสุขคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
3. ความเข้าใจเรื่องทรัพย์สิน (Asset) และหนี้สิน (Debt)
- ทรัพย์สิน หมายถึง สิ่งที่สร้างรายได้ให้กับเรา สร้างกระแสเงินสดให้กับเรา เช่น บ้านเช่า พันธบัตร
- หนี้สิน หมายถึง สิ่งที่ดึงกระแสเงินสดออกไปจากเรา โดยแบ่งได้เป็นหนี้ดีกับหนี้เสีย หนี้ดีคือหนี้ที่สร้างรายได้และกระแสเงินสดให้เรากลับมา เช่น การกู้เงินมาสร้างอพาร์ตเม้นท์หรือธุรกิจ หนี้เสียคือหนี้ที่ดึงกระแสเงินสดออกอย่างเดียว เช่น รถยนต์ (เพราะต้องเสียทั้งค่าน้ำมัน ค่าประกัน ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา ฯลฯ)
- เคล็ดลับ...ให้เพิ่มทรัพย์สินและลดหนี้สิน
4. การลงทุน
- เราจะพิจารณา 4 ปัจจัย 1. Asset allocation 2. Market Timing 3. Portfolio management 4. Psychology
- ความสำเร็จในการลงทุนมาจาก 3 ปัจจัย 1. เงินต้น (เงินออม) 2. ผลตอบแทนต่อปีทบต้น (ความสามารถในการลงทุน) 3. จำนวนปีที่ดอกเบี้ยทบต้น (ออมก่อนรวยกว่า)
5. ความเข้าใจเรื่องอิสรภาพทางการเงิน
- Financial freedom เกิดเมื่อ passive income จากทรัพย์สินในแต่ละปีมากกว่าหรือเท่ากับเงินที่ใช้จ่ายในแต่ละปี
- สามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องเงินเป็นหลัก เช่น อาจจะไปทำงานที่ชอบแม้ว่างานนั้นจะได้เงินน้อย ออกเดินทางท่องเที่ยว ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ให้เวลาครอบครัวได้เต็มที่
6. การพนัน VS การลงทุน
- ผมแยกด้วยกำไรคาดหวัง (Expected profit) ซึ่งคำนวณจาก expected profit = (upside x probability) – (downside x probability)
- การพนันกำไรคาดหวังเป็นลบหรือลบมากๆ เช่น หวยมีโอกาสถูกแค่ 1 ในพัน ส่วนการลงทุนกำไรคาดหวังจะเป็นบวกหรือบวกมากๆ
- แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือการพนันต่างก็มีความเสี่ยงในการสูญเสียเงินต้น เพราะเป็นการเล่นกับความน่าจะเป็น
- การพนันคือ Zero sum game มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย อย่าไปข้องแวะกับการพนันเด็ดขาด
- การลงทุนกับกำไรคาดหวังที่เป็นบวกควรลงทุน เพราะระยะยาวผลตอบแทนจะวิ่งเข้าหากำไรคาดหวังเสมอ แม้ว่าช่วงแรกๆผลตอบแทนอาจจะเป็นแบบสุ่ม (Random)
- คนที่เสี่ยงที่สุดคือคนที่ไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย ... ดังนั้นจงกล้าลงทุนในกรณีสินทรัพย์มีกำไรคาดหวังเป็นบวก
7. สินทรัพย์ (Asset) ต่างๆที่มีในตลาด ... ไล่จากความเสี่ยงน้อยไปมากนะครับ
- เงินสด (Cash) , เงินฝากระยะสั้น, กองทุนตราสารหนี้ที่สภาพคล่องสูง (Money market fund)
- เงินฝากระยะยาว, Bond (พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้เอกชน, ตราสารหนี้), ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์
- เฟรนไชน์, ลงทุนธุรกิจส่วนตัวที่ถนัด
- กองทุนดัชนี (Index Fund) เช่น TMB SET50, SCB SET, TDEX
- กองทุนรวม (Mutual Fund) ให้ดูสัดส่วนของหุ้นและตราสารหนี้ และ นโยบายของกองทุน
- อสังหาริมทรัพย์ (Real estate) เช่น บ้าน คอนโด (ให้เช่า หรือ ซื้อขายขาด)
- กองทุนเอกชน (Private equity)
- หุ้นสามัญ (Stock)
- ค่าเงิน (Forex)
- สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เช่น ทอง เป็นต้น
- Derivatives เช่น Future (TFEX, Stock future), Option, Gold future, บัญชีมาร์จิ้น(กู้เงินเล่นหุ้น), Short sell, Derivative warrant
8. การ approach สินทรัพย์
- มี 2 วิธี 1. Top down 2. Bottom up
- Top down – มองจากภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ เลือกสินทรัพย์ที่น่าจะได้ผลตอบแทนคาดหวังสูงสุดในสภาวะเศรษฐกิจนั้นๆ
- Bottom up – มองจากสินทรัพย์ที่เราเข้าใจหรือสนใจ แล้วดูว่าสินทรัพย์นั้นจะได้รับการกระทบอย่างไรในสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันและอนาคต
9. เข้าใจเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomic) แบบง่ายๆที่มีผลต่อการลงทุน
- Demand VS Supply กลไกตลาดเสรี (Invisible hand)
- ดอกเบี้ยนโยบาย VS เงินเฟ้อ - เงินฝืด
- GDP (Gross Domestic Product) = Consumption + Investment + Government spending + (Export-Import)
- วงจรเศรษฐกิจ (รุ่งเรือง->ถดถอย->ตกต่ำ->ฟื้นตัว)
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Demand VS Supply)
- GDP leading indicator …SET index จะนำ GDP อยู่อย่างน้อย 6 เดือน ถ้าเรารอตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจเปลี่ยนอาจจะไม่ทันเวลา เพราะตลาดหุ้นจะลงก่อนแล้วตัวเลขเหล่านี้ค่อยออกมาแย่ลงตามคาด ดังนั้นเราต้องหาตัวนำ SET เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, ยอดขายรถยนต์, ตัวเลขนำเข้าสินค้าทุน เป็นต้น
10. ขยายความสินทรัพย์ต่างๆที่สำคัญ
10.1 เงินสด และ MMF
ข้อดี
- เป็นสินทรัพย์ที่ดีมากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ...Cash is the king
- สภาพคล่องสูง จะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้
- ความเสี่ยงต่ำมาก...
- การถือ MMF(Money market fund) จะได้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินออมทรัพย์นิดหน่อย และความเสี่ยงต่ำกว่าเงินฝากกรณีที่เงินเกิน 1 ล้านบาท (เพราะอนาคตจะไม่มีการประกันเงินฝาก) เวลาขายเสียสภาพคล่องไปแค่ 1 วัน ถือเป็นตัวพักเงินชั้นดี
ข้อเสีย
- ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มใดๆ...ในระยะยาวมูลค่าจะลดลงเรื่อยๆตามเงินเฟ้อ
- ฝากประจำระยะสั้นดีกว่าระยะยาว เพราะจะเสียโอกาสถ้าดอกเบี้ยเกิดปรับตัวขึ้น และเงินจะเสียสภาพคล่องไป
10.2 Bond (พันธบัตรและหุ้นกู้)
ข้อดี
- พันธบัตรเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงมาก...เพราะรัฐมีความสามารถชำระหนี้ได้ไม่จำกัด...มีปัญหาก็เก็บภาษีเพิ่มได้ (ยกเว้น ประเทศที่เศรษฐกิจและโครงสร้างทางการเงินไม่ดี เช่น หนี้สาธารณะสูง)
- หุ้นกู้จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร หุ้นกู้คือเราให้เงินเอกชนกู้และได้ดอกเบี้ยตอบแทน แต่จะเสี่ยงกว่าโดยมีการจัดอันดับหุ้นกู้...
- โดยอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น Tris rating จัดไว้ 8 อันดับ ตั้งแต่ AAA, AA, A, BBB, BB, B, C, D ระดับที่น่าลงทุนคือตั้งแต่ BBB ขึ้นไป (ไล่จากความเสี่ยงน้อยไปเสี่ยงมาก D คืออยู่ระหว่างการผิดนัด)
- ยิ่งระดับความเสี่ยงสูงขึ้น ผลตอบแทนที่ได้จะสูงขึ้น (ดอกเบี้ยสูง)
ข้อเสีย
- bond ไม่มีสภาพคล่องเงินจมไปหลายปี รวมถึงตลาดตราสารหนี้ยังไม่มีสภาพคล่องให้ซื้อขายมากเท่าที่ควร
- ความเสี่ยงที่มูลค่า bond ลดลงถ้าดอกเบี้ยตลาดเพิ่มสูงขึ้นหรือความน่าเชื่อถือของบริษัทลดลง คนขายbond จะต้องลดราคาลงไม่อย่างนั้นคนก็ไม่ซื้อ เพราะคนจะไปซื้อตัวใหม่ที่ผลตอบแทนดีกว่า น่าเชื่อถือกว่า เป็นต้น
10.3ประกันชีวิต
ข้อดี
- ได้สิทธิในการลดหย่อนภาษี (เพราะรัฐต้องการส่งเสริมการออมเงิน)
- คนที่เหมาะทำประกันคือคนที่มีคนอื่นต้องดูแล เช่น ลูกเมียที่ทำงานไม่ได้พึ่งรายได้จากพ่อคนเดียว ถ้าพ่อตายคนอื่นก็ไม่มีใครเลี้ยงดู
ข้อเสีย
- ได้เงินไม่คุ้มกับที่เสียเบี้ยประกันไป...เพราะมีการหักค่าบริหาร
- ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ บ.ประกันเอาเงินไปลงทุนความเที่ยงสูงแล้วเอาที่เหลือมาคืนเรา (ถ้าเราลงทุนเองได้มากกว่า)
หมายเหตุ – ประกันชีวิตไม่ได้ทำให้เราไม่ต้องป่วยต้องตาย สำคัญที่สุดคือดูแลสุขภาพ งดเหล้าบุหรี่ยาเสพติดและพฤติกรรมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อคนที่เรารักและคนที่รักเรา
10.4 LTF (Long term equity fund)
- Highly recommend จากผม เพราะต้องถือยาว 5 ปีถึงจะขายได้ และที่สำคัญได้สิทธิลดหย่อนภาษี (กรณีขายก่อน 5 ปีจะเสียสิทธิ) ทำให้ไม่ต้องซื้อขายบ่อยๆซึ่งเป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่ขาดทุน...โอกาสค่อนข้างกำไรแน่นอน (แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์)
- ได้สิทธิลดหย่อนภาษี มูลค่าลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 15%ของรายได้สูงสุดถึง 500,000-700,000 บาทต่อปี คนที่ฐานภาษีสูงยิ่งได้ประโยชน์
- มีหลายแบบให้เลือก ทั้งหุ้น หรือหุ้นผสมตราสารหนี้ แต่ผมเชียร์กองทุนหุ้นเพราะถือยาวตั้ง 5 ปียังงัยก็กำไรค่อนข้างแน่นอน (ผลตอบแทนระยะยาว LTF อยู่ที่ 12%ต่อปี)
- ดูนโยบายกองทุนด้วยว่าเป็นเชิงรุกหรือเชิงรับ
- อาจจะซื้อแบบ Dollar cost average คือซื้อแบบเฉลี่ยต้นทุน ..ใช้เงินซื้อเท่าๆกันทุกเดือน
10.5สินค้าโภคภัณฑ์ (commodities)
- สินค้าโภคภัณฑ์ คือ ของที่เหมือนกัน เช่น
-1.) Hard commodities (มนุษย์ผลิตไม่ได้) เช่น ทองคำ น้ำมันดิบ ถ่านหิน เหล็ก เงิน(โลหะ) ...
-2.) Soft commodities (มนุษย์ผลิตได้) เช่น ยาง ถั่วเหลือง ข้าว น้ำตาล กาแฟ ข้าวโพด วัว เป็ดไก่ ...
- การลงทุนต้องดู demand vs supply เป็นหลัก อันนี้สำคัญมากๆ...^^
- ถ้า demand > supply เป็นช่วงขาขึ้น (ไม่ว่าจะเป็น demand เพิ่มหรือ supply ลดก็ตาม)
- ถ้า supply > demand เป็นช่วงขาลง (ไม่ว่าจะเป็น supply เพิ่มหรือ demand ลดก็ตาม)
- ดู cycle ของสินค้าที่เข้ามาทดแทนใหม่แต่ละอย่างว่าใช้เวลาผลิตกี่ปี? เมื่อ supply ใหม่เข้ามาจะจบรอบขาขึ้น
- ราคาจะผกผันกับหุ้นบางตัว เพราะบริษัทใช้สินค้าโภคภัณฑ์วัตถุดิบ ถ้าราคาสูงต้นทุนจะสูงและกำไรน้อย ยกเว้นบริษัทนั้นขายสินค้าโภคภัณฑ์ซะเอง...ช่วงแรกจะกำไรมาก ตอนที่ Demand > Supply และบริษัทมีสินค้าอยู่เป็นจำนวนมาก
หมายเหตุ - ระวัง!!! เพราะเป็นธุรกิจที่คาดเดายากต้องใช้ความรู้และข้อมูลมาก
10.6 อสังหาริมทรัพย์
- ขึ้นอยู่กับ Location Location และ Location
- ตัวอย่างเช่น ที่ดิน บ้าน คอนโด ห้องแถว อพาร์ตเม้นต์ ...
- จะซื้อขายขาดหรือปล่อยให้เช่าก็ได้
- กรณีเช่า...ควรเลือกใกล้สถานศึกษาหรือที่ทำงาน โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ชั่วคราว เช่น นักศึกษาหรือชาวต่างชาติที่ทำงานไม่นานก็ต้องเปลี่ยนที่ไปไม่ได้อาศัยตลอดชีวิต
- ชนชั้นกลางจะชอบซื้อขาดมากกว่าที่จะเช่า
- กรณีซื้อขาด...ให้มีเงินทุนหมุนเวียนไว้ส่วนนึงเพราะซื้อขายไม่คล่อง
- บ้านที่เราพักอาศัยคือสินทรัพย์ที่น่าลงทุน
- แนวโน้มค่าที่ดินจะขึ้นตามจำนวนคนที่สัญจรไปมา
10.7 ทอง
- เป็น Hard currency ตัวนึงไปแล้ว
- เป็น Safe haven หรือที่พักเงิน กรณีคนไม่มั่นใจค่าเงินดอลล่าร์
- Supply มีจำกัด แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ(จากอุตสาหกรรมเครื่องประดับ อิเล็กโทรนิค ธนาคารกลางของประเทศต่างๆเก็บเป็นเงินทุนสำรอง) ...น่าจะดีในระยะยาว ระยะสั้นผันผวนคาดเดายาก
- ดีมากในช่วงเงินเฟ้อ หรือ เศรษฐกิจแย่มากๆ สงคราม
- ค่าเงินบาทมีผลต่อราคาทอง...
ข้อเสีย
-ต้องหาที่เก็บและไม่มีดอกเบี้ยหรือปันผล ช่วงเศรษฐกิจปกติราคาจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวมาก
ขอแบ่ง 2 ตอนนะครับ เดี๋ยวจะยาวเกินไป ตอนหน้าจะพูดถึงเรื่องหุ้นอย่างเดียวเลยครับ
ปล. เพื่อนๆนักลงทุนคนไหนที่สนใจจะเรียน ให้แจ้งความสนใจไว้ในความเห็นของ blog หรือใน Web page facebook ของ mind investing blog ได้ครับ
:D
ถ้าไม่ลำบากเกินไปรบกวน post ลง youtube จะดีมากครับ
ตอบลบความตั้งใจ เยี่ยมจริงๆครับ :D
ตอบลบ@คุณ Lex ... ผมอยากจะเก็บประสบการณ์ให้มากที่สุดก่อนน่ะครับ จะได้เข้าใจผู้ฟัง สามารถพูดแล้วตรงใจและผู้ฟังเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย ผมชอบการสื่อสาร 2 ทางมากกว่าครับ แต่ถ้าผมมีทีมช่วยและมีประสบการณ์มากขึ้น ผมจะทำเป็น mass media แน่นอนครับ :D
ตอบลบ@คุณ Unsign ... ขอบคุณครับ :D
เนื้อหาดีมาก สนใจครับ
ตอบลบเนื่อหารอบด้านเลยค่ะ สนใจไปขอฟังด้วยคน
ตอบลบขยัน เก่ง แล้วยังมีน้ำใจอีก
ตอบลบขอให้พอร์ตถึงพันล้านเร็วๆ นะครับ :)
@คุณ Decha คุณ ore ...ตอนนี้มี 3 คนแล้วครับ (รวมคุณตากล้องใน FB page) ขออีก 2 คนนะครับ
ตอบลบ@คุณ Pansa ... ขอบคุณครับพี่บี :D
ขอไปฟังด้วยคนครับ ball_1187@hotmail.com
ตอบลบบอล
ขอเรียนรู้ด้วยคนน่ะครับพี่ _/\_ ขอบคุณครับ pol_e30@hotmail.com
ตอบลบขอบคุณคุณบอล และคุณ pol ที่สนใจนะครับ ตอนนี้ครบ 5 คน แล้วถ้าได้เวลาที่ลงตัวผมจะแจ้งให้ทราบนะครับ ทาง blog, FB, และ emailที่แจ้งไว้นะครับ เวลาน่าจะเป็นเดือน ต.ค. หรือ พ.ย.อ่ะครับ :D
ตอบลบสนใจสองที่ครับ
ตอบลบwsnp_titi@yahoo.co.th
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ขอร่วมฟังด้วยคนครับ จองหนึ่งทีครับ
ตอบลบzake_orr@yahoo.com
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
อ่านแนวคิดของพี่แล้วน่าสนใจมากครับ แนวคิดรอบด้านอ่ะครับ
ตอบลบตอนนี้ผมเรียนแพทย์เหมือนกับพี่อ่าครับ เลยอยากไปแลกเปลี่ยนความคิดกันอ่ะครับ ขอจอง 1 ที่ครับ docapon@hotmail.com
ถ้าโพสบอกใน facebook จะดีมากเลยครับ hotmail เมลเยอะไปหมดเลย ขอบคุณครับ
สนใจร่วมฟังด้วยค่ะ ไม่ทราบยังมีที่ว่างหรือเปล่าค่ะ
ตอบลบยังไม่ได้จัดซักรอบเลยครับ เพราะช่วงนี้งานผมเข้ามากมายแล้วยังเรื่องน้ำท่วมกทม.อีกครับ ยังงัยผมจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ :D
ตอบลบเป็นความตั้งใจที่ดีของคุณก๊อบนะครับ ขอติดตามบล็อกด้วยคน ผมเองก็เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเช่นกันที่ MonkeyFreeTime.com และ ClubVI.com แนะนำ-ติชมได้ครับ
ตอบลบขอบคุณคุณ Antoni'O' นะครับ
ตอบลบผมเข้าไปดู Website ทั้ง 2 แห่งแล้ว น่าสนใจมากครับ ขอติดตามด้วยคนนะครับ :D
สนใจมากครับ ถ้าเปิดอบรมช่วยติดต่อกลับ anuwat_sme@yahoo.com ขอบคุณครับ
ตอบลบอยากเข้าไปเรียนอยู่จ.สุรินทร์ มีเพื่อนร่วมลงทุนมือใหม่ 4 คน ไม่ทราบพอจะมีเวลาสอนไดไหมรับ sirimethagul@hotmail.com
ตอบลบถ้าเปิดขอลงชื่อไปเรียนด้วยคนนะครับ 1 ที่ครับ
ตอบลบeaw_cpe@yahoo.com
ผมรวบรวมคนที่สนใจเรียนได้ 5 คนแล้ว ถ้าเปิดคอร์สแล้วช่วยติดต่อกลับ mint_gozzi@hotmail.com
ตอบลบขอบคุณมากครับ
Hmin
ขอแจมด้วยหนึ่งคนครับ
ตอบลบsalanwit@gmail.com
นะ
จะเปิดเมื่อไหร่ครับ สนใจอยากเรียนรู้ด้วยครับ RATCHAPOL1@HOTMAIL.COM
ตอบลบผมประทับใจแนวคิดที่ได้จากการอ่านบทความในblogของคุณก็อบ
ตอบลบจะเปิดสอนอีกหรือเปล่าครับ ถ้าอย่างไรผมขอลงชื่ออีกึนนะครับ multimediaone@gmail.com
ถึงเพื่อนๆนักลงทุนทุกท่าน ผมของดการเปิดคอร์สสอนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องด้วยว่าจากช่วงนี้เป็นต้นไป ผมไม่สามารถมีเวลาว่างเหมือนเมื่อก่อน จากการสอบใหญ่ที่ใกล้เข้ามา การแต่งงาน และต้องมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น ช่วงเรียนจบต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับภรรยา ผมไม่ต้องการเปิดการสอนการลงทุนเป็นอาชีพเหมือนหลายๆคนที่ทำกัน ตั้งใจทำเป็นงานอดิเรก ดังนั้นผมเองคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องให้เวลากับอาชีพหลักและครอบครัวครับ
ตอบลบผมแนะนำการศึกษาตามหัวข้อที่ผมเขียนเอาไว้เพราะเป็น Outline ที่ผมใช้เวลาสอนเรื่องการลงทุน เหมือนแผนที่กว้างๆ ที่นำไปต่อยอดได้ครับ
ขอบคุณทุกท่านมากๆที่สนใจมาฟัง ถ้าผมมีเวลาจะเขียนบทความ ไอเดียมาแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่าน รวมถึงมีคำถามอะไรสามารถโพสถามที่หน้า wall หรือ blog ได้เลยครับ ขอบคุณและขอโทษด้วยนะครับ
รบกวน ขอวิธี ทีจะทำให้เรามีวินัยในการลงทุนครับ
ตอบลบเช่น เวลา inducator เรามีสัญญาณ ให้ซื้อ เราก้ไม่ซื้อ พอราคา มันขึ้นไป ก็ยิ่งไม่กล้า ซื้อ
ได้แต่เสียดาย ทำตาปริบๆ
ช่วยแนะนำ วิธีแก้ ด้วยครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
การที่เราจะมีวินัย (Discipline)ในการลงทุนได้
ลบ1.เราต้องชัดเจนก่อนว่าหลักการลงทุนของเราคืออะไร? อะไรคือกฎของการลงทุนของเราที่ต้องปฎิบัติตาม ซึ่งหลักการเหล่านั้นต้องพิสูจน์ว่าได้ผลตอบแทนคาดหวัง (Expect profit) ที่เป็นบวกครับ
2.เราต้องเข้าใจเบื้องหลังของกฎว่าเพราะอะไรถึงได้ผล เช่น การใช้ indicator ตัวนี้ True positive เท่าไร? False positive เท่าไร? หรือ การที่เราซื้อหุ้นตามพื้นฐานของบริษัทที่กำลังเติบโตราคาหุ้นจะขึ้นตามเพราะอะไร? การที่เราเข้าใจหลักการลงทุนของเราจะทำให้เรามี"ความเชื่อมั่น" จริงๆ
3.เมื่อเรารู้แล้วว่าวินัยของเราคืออะไร(ข้อ 1) และเชื่อมั่นในระบบการลงทุนของเรา (ข้อ 2) เราจะทำตามวินัยได้มากขึ้นเพราะส่วนใหญ่ที่เราทำตามวินัยไม่ได้เพราะใจเราไม่ชัดเจนและเชื่อมั่นในหลักการลงทุนของเราเพียงพอว่าจะทำกำไรได้
แล้วให้ทำตามวินัยหรือกฎที่วางเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยมีการประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอ (เช่น ทำ check list ในสมุด)
4.การให้รางวัลและลงโทษตนเอง การให้แรงเสริมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางครั้งการปฎิบัติตามวินัยอาจจะไม่เห็นผลในทันที เช่น cut loss หุ้นดันขึ้น แต่ ถือเพื่อ let profit ต่อหุ้นดันลง ถ้าหลักการที่เราใช้ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้เราจะต้องให้รางวัลที่เราทำตามกฎได้ เช่น ซื้อของดีๆให้ตนเอง แม้ว่าจะได้ผลลบก็ตาม (เพราะไม่มีหลักการอะไรถูก 100% ไม่ผิดพลาดเลย)
เราจะปฎิบัติได้สม่ำเสมอขึ้นเพราะมีแรงเสริมทางบวก (รวมถึงการลงโทษตนเองถ้าไม่ทำตามกฎที่ตั้งไว้ครับ)
5.หมั่นตรวจสอบการลงทุนของเราว่ายังมีผลตอบแทนเป็นบวกหรือไม่? ถ้าเห็นว่าพัฒนาได้ก็ควรพัฒนาให้ดีขึ้น เพราะการมีวินัยแต่ยังขาดทุนไปเรื่อยๆย่อมไม่ดีแน่ครับ การมีวินัยควรมีในหลักการที่ใช้ได้ผลด้วยครับ
ขอบคุณที่ถามนะครับ :D
ขอขอบพระคุณ คุณGob Pongsakorn มากครับ _/|\_
ตอบลบคำตอบ สุดยอดเลยครับ
เดี่ยวจะ print เก็บไว้ปฏิบัติครับ :-)
ปล.ขอโทษทีมาขอบคุณช้าครับ หายไปสงกรานต์ครับ
ขอบคุณสำหรับคำถามดีๆเช่นกันครับ
ลบส่วนนึงที่ผมชอบการสอนเพราะจะได้รับคำถามที่กระตุ้นความคิด...ได้เปิดสมองผมเองให้กว้างขึ้นน่ะครับ
หวังว่าคำตอบจะเป็นประโยชน์นะครับ :D
ผมเพิ่งได้เข้ามาอ่านใน blog ของคุณ Gob
ตอบลบได้รับความรู้ที่น่าสนใจทีเดียว
โดยส่วนตัวผม พยายามที่จะหาวิธีการเก็บออม และทำให้เกิดดอกผลสูงสุด หลังจากลงทุนใน LTF แล้ว ผมจึงได้เริ่มเข้ามาศึกษาการเล่นหุ้นด้วยตัวเอง และจากที่ลองมาประมาณ สี่เดือนนั้น ได้ผลที่ค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีการ cut loss บ้างช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ^^
หลังจากอ่านที่คุณ Gob วิเคราะห์แล้วยิ่งน่าสนใจ ในเรื่องการวิเคราะห์ถึงแก่นในตัวสินค้า ผมได้ลองมาทั้งในรูปแบบเล่นสั้น เล่นไม่สั้นมาก(ประมาณเดือน) แล้วก็หุ้นปันผล
สุดท้าย ผมรู้สึกอย่างมากว่า การเล่นสั้นไม่เหมาะกับผม เพราะมันทำให้เราต้องพยายามดูตลาดทุกครั้งที่ทำได้ เสียสมาธิกับงานมากๆ ครับ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ ตัดวิธีการเล่นเช่นนี้ทิ้งไป (เล่นรอบสั้น รายวัน) ดังนั้นวิธีการอ่านงบการเงิน ก็พยายามทำอยู่ แต่อยากได้รับรู้วิธีวิเคราะห์จากปัจจัยจริงๆ ของสินค้าตัวนั้นๆ ครับ
ขออนุญาติติดตามและสอบถามต่อไปครับผม ^^
จากที่อ่านมา พบว่า คุณ gob เพิ่งมีครอบครัวไม่นาน ขอให้มีความสุขกับครอบครัวมากๆ นะครับ
ขอบคุณครับ ที่เขียนบทความดีๆ เช่นๆ นี้ มาให้อ่านกัน
ผมจะพยายามไล่อ่านตามให้จบนะครับ ^^
ขอบคุณคุณ Thanawat oak ที่ติดตามเช่นกันครับ ..หวังว่าจะได้ประโยชน์ทั้งในชีวิตการลงทุนและชีวิตด้านอื่นๆด้วยนะครับ :D
ลบผมว่าสุดท้ายเราทุกคนต้องค้นหาตัวเองให้เจอว่าตัวเราเหมาะกับแนวทางการลงทุนแบบไหน แต่ช่วงแรกอาจจะต้องลองศึกษาลองผิดลองถูกหน่อย แต่เราจะได้ประสบการณ์ที่กลับมาครับ
ผมคิดว่าแนวทางการลงทุนในหุ้นเติบโตเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้...แต่ต้องจับให้ถูกจุดคือ การเข้าใจธุรกิจที่เราจะลงทุนเป็นอย่างดีจนคาดการณ์ความน่าจะเป็นของอนาคตกิจการของมาได้ ศึกษา Business Model ของธุรกิจเป็นหลัก ส่วนการอ่านงบการเงินเอาไว้ทำความเข้าใจลักษณะการเงินของธุรกิจและนำไปสู่การตังสมมุติฐานในอนาคตเชิงตัวเลขน่ะครับ
ขอบคุณครับ
:D
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ ขอติดตามด้วยคนนะคะ
ตอบลบยินดีครับ :D
ลบ