โอกาสการลงทุนในหุ้นของผมหายไป 5 ปีเพียงเพราะผมคิดว่าคนเล่นหุ้นทุกคนต้องเป็นแบบเพื่อนของผม ที่เล่นหุ้นเหมือนเล่นการพนัน ปัจจุบันเพื่อนคนนี้ยังคงเหมือนเดิมและไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาจากหุ้นแต่อย่างใด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเสียใจมาก ผมเข้าตลาดหุ้นช้ามากกว่าที่ควรจะเป็น ผมเริ่มเล่นตอนอายุ 28 ปี ทั้งที่ช่วงที่ 5 ปีผ่านมาผมมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคมากมาย สามารถวิเคราะห์เป็นหุ้นเติบโตได้หลายตัว แต่เพียงเพราะผมไม่มีตัวอย่างนักลงทุนที่ดีและมีทัศนคติในด้านลบอย่างมากกับตลาดหุ้น
ผมไม่อยากให้นักลงทุนหน้าใหม่ต้องซ้ำรอยผม ...ที่เคยมองว่าหุ้นคือการพนัน เล่นแล้วอาจเจ๊งหมดตัวได้ คนที่รวยจากหุ้นต้องมีข่าววงใน ต้องมีเวลาเฝ้าตลาดตลอดเวลา ต้องเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่มีเงินหนา ต้องตามข่าวตลอดเวลา นักลงทุนรายย่อยคนทำงานประจำที่ค่อนข้างยุ่งอย่างผมไม่มีทางเล่นแล้วได้กำไรจากหุ้นได้ เรื่องรวยจากหุ้นไม่ต้องพูดถึง...ไม่มีทาง!!!
ทัศนคติต่อตลาดหุ้นในเชิงการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โชคยังดีที่ช่วงปี 52 ผมได้มีผู้ใหญ่ท่านนึงแนะนำให้ผมไปอ่านหนังสือของปู่ Warren Buffet ทัศนคติต่อการเล่นหุ้นของผมก็เริ่มเปลี่ยนไป...
การมีกัลยาณมิตรเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยนะครับ ถึงผมจะเจอช้าหน่อยแต่ผมก็ยังเจอ และครั้งนี้ผมตั้งใจเป็นกัลยาณมิตรให้กับทุกคนโดยเฉพาะมือใหม่ครับ
เล่นหุ้นให้เป็นการลงทุนในหุ้น ไม่ใช่การพนัน เพราะถ้าเล่นหุ้นแบบการพนันจะได้รับผลลัพธ์แบบการพนัน ..คือ หมดตัว!
เพื่อนๆเชื่อไหมว่า...ตั้งแต่ก่อนมาเล่นหุ้น ผมแทบไม่เล่นการพนันเลย ป๊อกเด้งเล่นกินตังค์บาทสองบาทก็ไม่เล่น เล่นไพ่ก็เล่นแบบไม่กินตังค์ เพราะผมคิดว่าการพนันเป็นอบายมุขเป็นทางสู่ความเสื่อม ที่ผมเคยเล่นครั้งเดียวคือซื้อเลขท้าย 3 ตัว ซื้อให้รู้ว่าเค้าเล่นกันยังงัย แต่ผลลัพธ์นะเหรอ?....แน่นอนครับ...ผมถูกเจ้ามือกินเรียบ! 555
คนอย่างผมที่ไม่เล่นการพนันเลยแม้ว่าจะเดิมพัน 1-2 บาท แต่กลับมาเล่นหุ้นด้วยจำนวนเงินเก็บเกือบทั้งหมดในช่วง 2 ปีผ่านมา นั่นเป็นเพราะผมมองว่าการเล่นหุ้นคือการลงทุนครับ
การพนันและการลงทุนต่างกันอย่างไร?
ในมุมมองของผมแบ่งแยกการลงทุนกับการพนันด้วยปัจจัย 2 อย่างครับ นั่นคือ...กำไรคาดหวังจากการลงทุนและสภาพจิตใจขณะลงทุนครับ
1. กำไรคาดหวัง (Expected Profit)
สมการของกำไรคาดหวัง : Expected profit = (probability x gain) – (probability x loss)
Probability คือ ความน่าจะเป็นที่จะเหตุการณ์ ในกรณีนี้คือโอกาสที่จะได้กำไรหรือขาดทุน
Gain คือ ถ้าได้กำไรจากวางเงินเดิมพันครั้งนี้จะได้เท่าไร กี่เปอร์เซนต์ของเงินเดิมพัน
Loss คือ ถ้าขาดทุนจากการวางเงินเดิมพันครั้งนี้จะเสียเท่าไร กี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดิมพัน
กำไรคาดหวัง คือผลรวมของกำไรหรือขาดทุนที่ได้จากทุกเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นทั้งหมด ถ้าเป็นบวกแสดงว่ามีโอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุน ถ้าเป็นลบแสดงว่ามีโอกาสขาดทุนมากกว่าได้กำไร โดยจะเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้นในระยะยาวที่มีการเดิมพันซ้ำหลายรอบ
ยกตัวอย่างการทอยเหรียญ – กำหนดให้การทอยเหรียญถ้าออกหัวได้เงิน 2 บาทต่อเงินเดิมพัน 1 บาท (ได้ 2 เท่า) แต่ถ้าออกก้อยเสียเงิน 1 บาทต่อเงินเดิมพัน 1 บาท (เสียหมดเลย) โดยความน่าจะเป็นที่จะออกหัวหรือก้อยเท่ากันคือ 50:50 การทอยเหรียญครั้งนี้จะมีค่ากำไรคาดหวังเป็นบวก ผมจะแสดงวิธีคิดให้ดูนะครับ
กำไรคาดหวัง = (2 x 0.5) – (1 x 0.5) = 0.5 บาทต่อเงินเดิมพัน 1 บาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อเงินเดิมพันได้ +50 เปอร์เซ็นต์ต่อเงินลงทุน จัดว่าการทอยเหรียญนี้เป็นการเดิมพันที่น่าลงทุนมาก (สังเกตุนะครับ...ผมใช้คำว่าลงทุน)
ถึงตรงนี้หลายคนจะมองว่า...ถึงกำไรคาดหวังเป็นบวกแต่ยังมีความเสี่ยงที่จะเสียเงินทั้งหมดอยู่ดี เช่น ถ้าเรามีเงิน 10 บาท แล้วลงเงินเดิมพันทั้งหมด 10 บาทในครั้งเดียว โอกาสที่เราจะสูญเงินทั้งหมดที่มีสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์
เพราะอะไรการเดิมพันที่กำไรคาดหวังเป็นบวกถึงเป็นการลงทุนครับ...ผมจะยกตัวอย่าง 2 ตัวอย่างนะครับ
กรณีที่ 1 เรามีเงิน 10 บาทแล้วเราลงเงินเดิมพันทีละ1 บาท 10 กองพร้อมกัน
- โอกาสที่เราจะสูญเสียเงินทั้งหมดในการเดิมพันแบบนี้ = 0.5 ยกกำลัง 10 = 0.000976 ขอปัดเศษเป็นตัวเลขกลมๆ = 0.001 นั่นคือโอกาสสูญเสียเงินทั้งหมดมีแค่น้อยกว่า 1 ในพัน ซี่งนับว่าน้อยมาก
- โอกาสที่น่าจะเกิดมากกว่าคือ ออกหัว 5 เหรียญและออกก้อย 5 เหรียญ (เพราะความน่าจะเป็น 50 : 50 อาจจะมีหัวหรือก้อยมากกว่านิดหน่อย) เราจะได้ผลลัพธ์ดังนี้ = (5 x 2) – (1 x 5) = 5 บาทต่อเงินเดิมพัน 10 บาทที่แบ่งเป็น 10 กองแล้วเดิมพันพร้อมกัน คิดเป็นผลตอบแทน 50 เปอร์เซ็นต์ต่อเงินเดิมพัน จะเห็นได้ว่าแม้ว่าโอกาส 50 : 50 แต่ด้วยกำไรคาดหวังที่เป็นบวกเราจะยังได้กำไรอยู่ดี
- โอกาสที่เลวร้ายที่น่าจะพอเกิดขึ้นได้แต่ไม่มากคือ ออกหัว 3 เหรียญและออกก้อย 7 เหรียญ ลองมาคิดผลตอบแทนกรณีนี้ดูนะครับ = (3 x 2) – (7 x 1) = -1 นั่นคือเสีย 1 บาทต่อเงินเดิมพัน 10 บาท คิดเป็นขาดทุน 10 เปอร์เซ็นต์ต่อเงินเดิมพัน จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์จะต้องไม่ปกติถึงเราจะขาดทุน และการขาดทุนนั้นจะไม่มากจนกระทั่งเราหมดตัว
กรณีที่ 1 สรุปว่า...เราใช้การแบ่งเงินเดิมพันเป็นหลายกอง ยิ่งหลายกองโอกาสหมดตัวยิ่งน้อยลง จากการที่เรากระจายความเสี่ยงแบบแบ่งกองในการเดิมพัน และยิ่งกองจำนวนมากเท่าไร สัดส่วนหน้าเหรียญที่ออกจะใกล้เคียงกับความน่าจะเป็นของผลการทอยเหรียญเท่านั้น
กรณีที่ 2 เรามีเงิน 10 บาทแล้วลงเงินเดิมพันทีละ1 บาทต่อครั้ง
- โอกาสที่เราจะสูญเสียเงินทั้งหมดในการเดิมพันแบบนี้ = 0.5 ยกกำลัง 10 ...นั่นคือโอกาสสูญเสียเงินทั้งหมดมีแค่น้อยกว่า 1 ในพัน ซี่งนับว่าน้อยมาก (วิธีคิดจะเหมือนตัวอย่างข้างบนครับ) นั่นคือต้องออกก้อย 10 ตารวด
- โอกาสที่น่าจะเกิดมากกว่าคือ ออกหัว 5 เหรียญและออกก้อย 5 เหรียญ แต่ลำดับผลลัพธ์และรูปแบบจะแตกต่างกันไปเนื่องจากทอยทีละเหรียญ เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์จะเป็นอิสระต่อกัน (เพราะความน่าจะเป็น 50 : 50 อาจจะมีหัวหรือก้อยมากกว่านิดหน่อย) เราจะได้ผลลัพธ์ดังนี้ = (5 x 2) – (1 x 5) = 5 บาทต่อเงินเดิมพัน 10 บาทที่แบ่งเป็น 10 กองแล้วเดิมพันพร้อมกัน คิดเป็นผลตอบแทน 50 เปอร์เซ็นต์ต่ดเงินเดิมพัน จะเห็นได้ว่าแม้ว่าโอกาส 50 : 50 แต่ด้วยกำไรคาดหวังที่เป็นบวกเราจะยังได้กำไรอยู่ดี
กรณีที่ 2 สรุปว่า...เราใช้การแบ่งเงินเดิมพัน ลงเดิมพันทีละกองแต่ทยอยลงหลายครั้ง ยิ่งเดิมพันหลายครั้งยิ่งโอกาสหมดตัวยิ่งน้อยลง จากการที่เรากระจายความเสี่ยงแบบค่อยๆทยอยลงเงินในการเดิมพัน และยิ่งจำนวนครั้งของการเดิมพันมากเท่าไร สัดส่วนหน้าเหรียญที่ออกจะใกล้เคียงกับความน่าจะเป็นของผลการทอยเหรียญเท่านั้น
ทั้ง 2 กรณีเป็นการยกตัวอย่างในการบริหารหน้าตักเงินทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากการเดิมพันเงินทั้งหมดเพียงครั้งเดียว
แม้ว่าการลงเงินเดิมพันทั้งหมด 10 บาทจะมีโอกาสที่เราจะหมดตัว 50 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ด้วยกำไรคาดหวังที่เป็นบวกและการบริหารจัดการหน้าตักที่ดี (Money Management) การทอยเหรียญนี้จะเป็น “การลงทุน”
ดังนั้นการลงทุนคือ...การเดิมพันที่มีกำไรคาดหวังเป็นบวกถึงบวกมากๆและมีการบริหารจัดการเงินที่ดี (Positive expected profit and good money management) ปล.นิยามนี้ผมคิดเองไม่ได้มาจากตำราเล่มไหนนะครับ เอาไปใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการไม่ได้นะครับ)
ลองดูการพนันจริงๆกันบ้าง...
หวยเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ลอตเตอรี่ แทงบอล ฯลฯ ล้วนแต่มีกำไรคาดหวังเป็นลบมากทั้งสิ้น (ลองไปคำนวณดูนะครับ) ต่อให้ทำ money management แต่ในระยะยาวจะขาดทุน แม้จะมีบางคนที่มีโชคดีอย่างมากจะได้กำไรในช่วงต้นก็ตาม แต่สุดท้ายผลตอบแทนระยะยาวจะวิ่งเข้าหากำไรคาดหวังเสมอ (ขาดทุน)
ดังนั้นการพนันยิ่งเล่นยิ่งเจ๊ง อย่าไปข้องแวะกับการพนันเด็ดขาดเพราะชีวิตจะมีแต่ล่มจมครับ
ระบบการลงทุนที่ดีจะมีกำไรคาดหวังเป็นบวกถึงบวกอย่างมาก ไม่ว่าระบบนั้นจะเป็นการลงทุนจะเป็นการลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental analysis) หรือการลงทุนแนวปัจจัยทางเทคนิคอล (Technical analysis) ระบบใดก็ตามทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนคิดเป็นกำไรคาดหวังที่เป็นบวก ระบบนั้นถือเป็นการลงทุนทั้งสิ้น
แม้ว่าการลงทุนจะมีกำไรคาดหวังที่เป็นบวกถึงบวกอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่าการลงทุนมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นผมจะใช้คำว่า bet (เดิมพัน) เวลาที่เราลงทุนในหุ้นแต่ละบริษัท เพื่อให้เราตระหนักถือความน่าจะเป็นทั้งด้านบวกและด้านลบ และต้องมีการทำ Money management เสมอ
เราอาจจะตกใจกับคำว่าเดิมพัน (Bet) แต่ชีวิตจริงเราก็เดิมพันอยู่ตลอดเวลา ... การเลือกคู่ครองก็เป็นการ”เดิมพัน”เพราะเราไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มีความเสี่ยงที่หลังแต่งงานเขาอาจจะเผยสิ่งไม่ดีที่เรารับไม่ได้ออกมา หรือแต่งไปแล้วชีวิตหลังแต่งงานไม่มีความสุข คนที่เรามองข้ามไปอาจจะเหมาะสมกับเรามากกว่า หรือการเลือกอาชีพก็เป็นการ”เดิมพัน”เพราะเราไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป้นอย่างไร จะประสบความสำเร็จหรือไม่ มีความเสี่ยงที่เราจะล้มเหลวและเสียเวลาไปฟรีๆ ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยการเดิมพันมากมาย โดยที่การเดิมพันเหล่านั้นหลายครั้งมีกำไรคาดหวังเป็นบวกโดยที่เราไม่ได้คำนวณ ยกตัวอย่างเช่น การเข้าไปบอกรักคนที่เราแอบชอบ ถ้าเกิดเค้าชอบเรา ถือว่าได้ Big gain แต่ถ้าเค้าไม่ชอบเรา เราจะเสียใจ ชีวิตเราก็ไม่ได้ต่างจากก่อนเราไปสารภาพรัก ถือว่า Limit loss เป็นต้นครับ
ดังนั้นอย่าไปกลัวการเดิมพันเลยครับ เพราะเราทุกคนก็เดิมพันกันอยู่เรื่อยๆโดยที่เราไม่รู้ตัว
2. สภาพจิตใจขณะเล่นหุ้น
สิ่งที่แตกต่างอย่างมากระหว่างการลงทุนกับการพนันคือ...สภาพจิตใจของผู้เล่น
นักลงทุนที่เป็นมนุษย์ปุถุชนจะยังมีความโลภและความกลัวในจิตใจ เราอยากได้กำไรแต่ขณะเดียวกันเราจะกลัวกาขาดทุน ซึ่งฟังดูก็เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อไรที่เราปล่อยให้อารมณ์ไม่ว่าจะเป็นความโลภและความกลัวเข้าครอบงำอยู่เหนือเหตุผลเมื่อนั้นเราจะมีจิตใจของนักพนัน
จิตใจที่โลภจนหน้ามืด...เป็นจิตใจที่ไม่พร้อมรับความสูญเสีย คิดเอาแต่ได้เพียงด้านเดียว มอง Upside โดยไม่มอง Downside ไม่มองแผนการรับมือกับความเสี่ยงไว้เลย และที่ยิ่งไปกว่านั้น Upside ที่พวกคนโลภมองจะไม่ได้มาจากการวิเคราะห์ตามเหตุและผลที่เป็นจริง เป็น Upside ที่มาจากความอยากได้อยากมีล้วนๆ
แต่โลกไม่ได้ตามใจเรา...เมื่อหุ้นไม่ขึ้นและพร้อมจะดิ่งเหว สิ่งที่เกิดขึ้นกับนักพนันจอมโลภคือ สติแตกเพราะไม่ได้วางแผนล่วงหน้า อาจจะถือติดดอยและภาวนาว่ามันจะกลับมาแล้วจะเลิกเล่นหุ้นแต่ความจริงอาจจะติดดอยตลอดไป บางครั้งเมื่อเสียเงินไปแล้วจะพยายามเอาเงินคืนด้วยการเอาเงินจำนวนมากขึ้นไปเสี่ยงให้หนักขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จากการกระทำที่ไม่ยั้งคิดยิ่งจะทำให้ทุกข์หนักกว่าเดิม
โดยความโลภอย่างมากอาจจะมาจากซื้อตามเซียน ซื้อตามโบรกเกอร์ ซื้อตามข่าวลือข่าววงใน โดยไม่ได้เข้าใจการลงทุนนั้นอย่างแท้จริง
จิตใจที่กลัวจนหน้ามืด...เป็นจิตใจที่ไม่พร้อมรับความสูญเสียเช่นกัน เหมือนเป็นด้านตรงข้ามของจิตใจที่โลภเพียงแต่กลับด้านกัน
การใช้ความโลภในการลงทุนโดยที่ไม่ใช้ปัญญาก็ไม่ต่างอะไรกับการพนัน แม้ว่าการกระทำจะเป็นแบบเดียวกันคือซื้อขายหุ้น แต่เนื้อในจิตใจของนักลงทุนกับนักพนันจะต่างกันมาก
การซื้อหุ้นโดยไม่มีแผนการไว้ก่อน ไม่ได้ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน คิดแต่จะเอาคิดแต่จะได้โดยไม่มีเหตุหรือความจริงรองรับ หลังจากได้หุ้นมาก็จะเกิดความกระวนกระวาย หุ้นขึ้นก็กระวนกระวายอยากรีบขายกลัวกำไรหาย หุ้นลงก็กระวนกระวายอยากหลุดดอย เวลามีข่าวร้ายก็กระวนกระวาย เวลามีข่าวดีก็ตื่นเต้นดีใจ...แต่พอราคาหุ้นไม่ตอยสนองก็กระวนกระวายต่อ หุ้นขึ้นก็กระวนกระวายว่าตัวเองซื้อน้อยไป หุ้นลงก็กระวนกระวายไม่น่าไปซื้อเลย ขายหุ้นแล้วหุ้นขึ้นต่อก็กระวนกระวายว่าตัวเองขายหมู ตกลงชีวิตของนักลงทุนแบบพนันแทบไม่มีความสุขเลย
จิตใจของนักลงทุน...คือจิตใจที่พร้อมจะรับความสูญเสีย (แม้จะไม่อยากT_T) มีแผนการและภาพในใจอย่างชัดเจนแล้วทำไปตามแผนที่วางไว้ มีการประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงตามข้อมูลข้อเท็จจริง เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ รู้ว่าเมื่อไรควรเข้าไปเดิมพัน รู้ว่าเมื่อไรควรหยุดและเมื่อไรควรอยู่เฉยๆ
ถึงตรงนี้ผมขอสรุป...การเล่นหุ้นให้เป็นการลงทุนในหุ้น
1. ลงทุนในหุ้นที่ราคาเมื่อเทียบกับมูลค่าเมื่อประเมินจากพื้นฐานกิจการแล้วมีกำไรคาดหวังเป็นบวก สร้างระบบการลงทุนของตนเองที่ทำให้พอร์ตโดยรวมมีกำไรคาดหวังที่เป็นบวก ไม่ว่าระบบนั้นจะใช้หลักของ Fundamental หรือ Technical ก็ตาม
2. ลงทุนโดยใช้การบริหารจัดการเงินทุนอย่างเหมาะสมกับความเสี่ยง (Money management, Portfolio management)
3. ลงทุนด้วยจิตใจที่อยู่เหนือความโลภและความกลัว ประเมินเหตุและผลตามความจริง ลงทุนตามหลักการของตนเองอย่างมีวินัย มีความสุขในการลงทุนในหุ้น
หยุดเล่นหุ้นแบบการพนัน แล้วหันมาลงทุนในหุ้นแทนนะครับ
:D
ยิ่งเขียน ยิ่งนุ่มครับ :D
ตอบลบ"แต่กลับมาเล่นหุ้นด้วยจำนวนเงินเก็บเกือบทั้งหมดในช่วง 2 ปีผ่านมา"
โอ้โห ทำไมเงินเก็บเยอะจังครับ 555
ขอบคุณครับพี่ Unsign :D
ตอบลบผมทำงานได้เงินมาไม่ค่อยได้ใช้อ่ะครับ ช่วงไปใช้ทุนส่วนใหญ่มีแต่ทำงานน่ะครับ ผมเก็บเงิน 80-90 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่มีแต่ค่าอาหาร ค่าการ์ตูน ค่าหนังสือครับ ผมไม่ได้ซื้อรถยนต์ด้วยครับ เพราะตอนนั้นเคยอ่านหนังสือ Rich Dad เค้าบอกว่ารถยนต์เป็นหนี้สิน ผมเลยยังไม่มีรถจนถึงทุกวันนี้ (เพื่อนรุ่นเดียวกันน่าจะเริ่มผ่อนรถหมดแล้วมั้ง) แล้วเงินเก็บผมก็ทยอยออมในฝากประจำดอกเบี้ยสูงกับแบ่งไปซื้อพันธบัตร
แล้วเงินที่ทำงานและลงทุน 4 ปีนับแต่เรียนจบ ถึงได้เอามาลงทุนในหุ้นน่ะครับ
:D
อ่านลื่นจริงๆเลย เห็นด้วยเลยครับพี่กอล์ฟ คำว่าเดิมพันนี่มันเหมือนของแสลงโดยเฉพาะกับนักลงทุนเมื่อต้องการพูดจาให้ดูน่าเชื่อถือ 55 แต่จริงๆแล้วก็ Bet กันทั้งนั้นเลย อะไรที่ยุ่งเกี่ยวกับอนาคตผมว่ามันก็เดิมพันกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแต่จะจัดการกันได้ชาญฉลาดแค่ไหนเท่านั้นเอง
ตอบลบปล. สุดยอดเลยนะครับเนี่ยเก็บเงิน 80 - 90 เปอร์เซนต์ของรายได้ในแต่ละเดือน ตบะไม่แตกได้นี่นับถือจริงๆเลยครับ 55
ขอบคุณครับน้องมด :D
ตอบลบ"อะไรที่ยุ่งเกี่ยวกับอนาคตผมว่ามันก็เดิมพันกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแต่จะจัดการกันได้ชาญฉลาดแค่ไหนเท่านั้นเอง" - เห็นด้วยมากๆเลยครับ
ช่วงทำงานใหม่ๆไม่ค่อยมีเรื่องให้ใช้เงินน่ะ ช่วงนี้เก็บออมได้น้อยลงมาก (ประมาณ 20-30%) T_T ดีว่าพอร์ตพี่เริ่มโตด้วยตัวเองได้บ้างแล้ว
ขอบคุณสำหรับบล็อกดีๆนะครับพี่พงศกร
ตอบลบผมน้องป๊อกนะครับ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนผมอยากให้พี่ช่วยอธิบายเกี่ยวกับค่าการคาดหวังในการแทงบอลหน่อยได้ไหมครับ เพราะผมดูแล้วมันก็ 50 : 50 หรือป่าวครับ
ขอขอบคุณครับผม
POK777
การกำหนดอัตราการแทงบอลเป็นเรื่องที่ยากที่จะให้ได้ 50:50 พอดีครับ เพราะมีปัจจัยเรื่องฟอร์มการเล่นปัจจุบัน สถิติเก่าที่เจอกันมา ผู้เล่นที่บาดเจ็บ ฯลฯ ถ้าอยากรู้ว่าบ่อนกำหนดได้ 50:50 จริงหรือไม่...ต้องลองทำการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างมากพอ เพราะอัตราต่อรองคือความเชื่อของบ่อนที่คิดว่าอัตรานั้นคือ 50:50 ไม่ใช่ prob ที่แน่นอนเหมือนการออกหน้าไพ่ การโยนเหรียญ เป็นต้น
ตอบลบนอกจากนั้น...ยังมีค่า commission ที่ต้องจ่าย ซึ่งผมไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไร เพราะไม่เคยแทงบอลเลย ซึ่งทำให้ กำไรคาดหวังเราติดลบไปแล้ว แม้ว่าอัตราจะเป็น 50:50 ก็ตามครับ
:D
ขอบคุณครับ ^___^..
ตอบลบ