สมัยเรียนชั้นม.ปลาย วิชาที่ผมชอบมากที่สุดคือ วิชาฟิสิกส์ เพราะผมรู้สึกสนุกกับการสังเกตสิ่งรอบตัวในมุมมองด้านกายภาพ การค้นหาความจริงผ่านการทดลองและการแก้โจทย์ปัญหาในรูปแบบตัวเลขที่ชัดเจน ส่วนวิชาที่ผมไม่ชอบที่สุดคือ วิชาชีววิทยา เพราะผมมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าการท่องจำเพื่อสอบให้ผ่านไป ซึ่งเป็นลักษณะของการเรียนรู้แบบไทยๆ
แต่ในช่วงที่ผ่านมา มีหนังสือ pop science ทางชีววิทยาโดยเฉพาะเรื่อง วิวัฒนาการ (Evolution) ออกมามากมายทั้งหนังสือภาษาไทยและหนังสือต่างประเทศ กลายเป็นว่า...ชีววิทยาสนุกกว่าที่คิด!! ผมรู้สึกสนุกมากกว่าการอ่านหนังสือชีววิทยาสมัยม.ปลายอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะการอ่านครั้งนี้เต็มไปด้วยความอยากรู้ ความสนุกและสามารถนำไปเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันได้
ผมลองจะอธิบายเรื่องวิวัฒนาการให้ฟังแบบสั้นๆนะครับ
การวิวัฒนาการ (Evolution)...ไม่ใช่การพัฒนาการ (Development) คนส่วนใหญ่ชอบใช้การวิวัฒนาการในความหมายของการพัฒนาตนเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ส่งผ่านพันธุกรรมไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน เช่น ถ้าเราขยันเล่นกล้ามจนกล้ามใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าลูกหลานของเราจะกล้ามใหญ่ไปด้วย เพราะการที่เล่นกล้ามจนกล้ามใหญ่ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พันธุกรรม
การวิวัฒนาการ (Evolution)...ไม่ใช่การปรับตัว (Adaptation) เช่น บางคนคิดว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ทำงานแต่ในห้อง ต่อไปมนุษย์จะหัวโตแขนขาลีบเพราะใช่แต่สมอง ซึ่งนี่ไม่ใช่วิวัฒนาการเพราะไม่ได้มีการส่งผ่านพันธุกรรมไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน แน่นอนว่าถ้าไม่ใช้แขนขาเลย แขนขาย่อมลีบลง แต่นี่คือการปรับตัวตามการใช้งานของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวมาในพันธุกรรมอยู่แล้ว
การวิวัฒนาการคือ...การเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรมจากรุ่นหนึ่งส่งต่อไปอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีความหมายว่าดีขึ้นหรือแย่ลง แต่สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดไปได้ต้องเหมาะสมที่อยู่รอดและขยายพันธุ์ในสภาวะแวดล้อมนั้นๆ
การศึกษาเรื่องวิวัฒนาการทำให้เรารู้เส้นการของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เซลเดียวจนมาถึงสิ่งมีชีวิตหลายเซลที่มีสมองส่วนหน้าพัฒนาอย่างมนุษย์เรา ผ่านการศึกษาอย่างมีหลักฐานอย่างมีเหตุผล ไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ
สิ่งที่ทำให้เกิดการวิวัฒนาการมีเรื่องหลัก 2 อย่าง
1. การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ซึ่งอาจจะมาจากการกลายพันธุ์ (Mutation) หรือ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual reproduction) ที่มีการแลกพันธุกรรมจากเพศผู้และเพศเมียอย่างละครึ่งทำให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม เมื่อพันธุกรรมเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตามมา เช่น สามารถผลิตโปรตีนบางชนิดได้ อวัยวะบางอย่างเปลี่ยนไป เป็นต้น
2. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural selection) สิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดคือ...สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดในสภาวะแวดล้อมนั้นและขยายเผ่าพันธุ์ได้ ยกตัวอย่างกรณียีราฟ ในอดีตกาลจะมียีราฟหลายพันธ์ทั้งคอยาวคอสั้น การที่เราเห็นยีราฟคอยาวในปัจจุบันแสดงว่า สภาพแวดล้อมในช่วงที่ผ่านมาทำให้ยีราฟคอยาวอยู่รอดและสืบพันธุ์ต่อเนื่องมาได้ ซึ่งสภาพแวดล้อมนั้นอาจจะเป็น ป่าที่มีแต่ต้นไม้สูง ทำให้ยีราฟคอสั้นหาอาหารไม่ได้และตายไป
เรื่อง Natural selection นี้เอง ทำให้ผมมองเห็นความสำคัญของ”สภาพแวดล้อม”ที่มีผลต่อการอยู่รอดและการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์ ซึ่งสภาพแวดล้อมนั้นต้องเหมาะสมกับสิ่งมีชีวิต
ในโลกของการลงทุน คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานาน คนที่อยู่ในวงการธุรกิจมานาน หรือคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังกลับไป จะพบการเกิด การคงอยู่ การขยายตัว การเสื่อมถอยและดับไปของทั้งบริษัท อุตสาหกรรม รวมถึงนักลงทุนและนักเก็งกำไร ที่มีทั้งอยู่รอดในตลาดหุ้นได้ ขาดทุนหมดตัวออกจากตลาดไป มีทั้งสร้างชื่อเป็นเซียนได้ชั่วคราวแค่ในช่วงตลาดขาขึ้น แต่ตลาดขาลงเอาตัวไม่รอดต้องออกจากตลาดไป มีทั้งเซียนตัวจริงที่อยู่รอดและเติบโตได้ในทุกสถานการณ์
ลองมาดูมุมมองเรื่อง Natural selection ในโลกแห่งการลงทุนกันนะครับ
Natural selection ในโลกแห่งการลงทุน
ผมจะแบ่งเรื่องนี้ออกเป็น 2 หัวข้อ คือ การถูกคัดเลือกของบริษัทและการถูกคัดเลือกของนักลงทุน
1. การถูกคัดเลือกของบริษัท
สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อุตสาหกรรมใดจะเติบโตได้ต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ในเรื่องเทคโนโลยี...เมื่อ 50 ปีก่อนการสื่อสารยังไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน ถ้ามีใครสักคนเอาเครื่องโทรศัพท์มือถือมาขายโดยที่ยังไม่มีเครือข่ายสัญญาณ โทรศัพท์มือถือนั้นก็ขายไม่ได้ หรือ ในสมัยที่ยังไม่มีการใช้ไฟฟ้า ถ้ามีใครเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทันสมัยที่สุดจากโลกตะวันตกเข้ามาขาย เครื่องใช้ไฟฟ้าจะขายไม่ออกเพราะไม่มีระบบไฟฟ้ารองรับ หรือ ในสมัยที่ยังไม่มีรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม น้ำมันคงยังไม่เป็นที่ต้องการมากเท่าปัจจุบัน เป็นต้น ดังนั้นแม้สินค้าและบริการดีแค่ไหน..แต่ถ้าสภาพแวดล้อมโดยรวมไม่เอื้ออำนวยธุรกิจและอุตสาหกรรม ธุรกิจก็ไม่สามารถจะอยู่รอดและเติบโตได้
รวมถึงเมื่อสินค้าและบริการบางอย่างเริ่มทยอยหายไปตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เช่น กล้องแบบใช้ฟิล์มเริ่มหายไปจากการเข้ามาของกล้องดิจิตอล ที่ถ่ายรูปได้แบบไม่เปลืองฟิล์ม ถ่ายแล้วปรับกการทำงานได้มากมาย ใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ได้, เครื่องพิมพ์ดีดเริ่มหายไปหลังจากการเข้ามาของคอมพิวเตอร์กับปรินเตอร์ การใฃ้งานคอมพิวเตอรืในการพิมพ์งานเป็นที่นิยมและสะดวกกว่ามาก, ธุรกิจร้านตัดเสื้อเริ่มหายไปหลังจากมีการเข้ามาของโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเสื้อผ้าได้ครั้งละจำนวนมาก, เพจเจอร์ที่รับส่งข้อความเริ่มหายไปหลังจากมีการเข้ามาของการส่งข้อความโดยตรงทางโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น แม้สินค้าและบริการดีแค่ไหน..แต่ถ้ามีสินค้าและบริการที่ทดแทนความต้องการในระดับที่เหนือชั้นกว่า ธุรกิจและอุตสาหกรรมเดิมก็ไม่สามารถอยู่รอดและเติบโตได้
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบบในระดับนโยบายโดยรวมก็ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเช่นกัน...เช่น การเกิดขึ้นของการค้าเสรี ทำให้มีผลดีต่ออุตสาหกรรมขนส่งโลจิสติกส์ ในการขนส่งสินค้าของประเทศที่มี Supply เหลือมากไปยังประเทศที่ยังมี Demand เหลือมาก บริษัทที่แข็งแกร่งและเติบโตสูงสามารถเพิ่มเพดานการขยายตัวขึ้นไปได้อีก แต่การค้าขายในประเทศอาจจะเกิดการแข่งขันมากขึ้นอาจจะส่งผลเสียต่อบริษัทที่ไม่มีจุดเด่นหรืออ่อนแอ, หรือ การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย ทำให้ญี่ปุ่นและประเทศทางตะวันตกเข้ามาเปิดโรงงานมากมายเพราะค่าแรงในแถบเอเชียไม่แพงเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แรงงานในระบบไหลเข้าโรงงาน คนรับใช้เริ่มลดลงเพราะไปเป็นคนงานในโรงงานหมด, รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมบางอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ สินค้าส่งออกต่างๆ เป็นต้น
แน่นอนว่ามีธุรกิจบางอย่างที่ไม่ขึ้นกับสภาพแวดล้อมมากนัก เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับปัจจัย 4 อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งหุ่ม ยารักษาโรค แต่มองไปให้ลึกแล้วจะพบว่ามีบริษัทในอุตสาหกรรมล้มหายตายจากไปมากมาย เหลือคงอยู่เป็นผู้ชนะไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ถูก Selection
ในอนาคตอันใกล้ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น การสื่อสารคมนาคนที่เร็วขึ้นจากการเกิดของ 3G และเครือข่ายอินเตอร์เนตความเร็วสูง, การเกิดของ AEC (Asian economic community) เขตเศรษฐกิจอาเซียน, การเกิดของรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากประเทศจีน, ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในทวีปยุโรป, ความแปรปรวนของภูมิอากาศ ปัจจัยสภาพแวดล้อมในทางเศรษฐกิจต่างๆที่ยกขึ้นมานี้...อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้มีการล้มหายตายจากของธุรกิจในบางอุตสาหกรรม อาจเกิดการล้มหายตายจากของบางธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ดูเหมือนจะเติบโต อาจจะเป็นปัจจัยในการรุ่งเรืองของธุรกิจในบางอุตสาหกรรม อาจเกิดความรุ่งเรืองเติบโตของบางธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ดูเหมือนจะโตได้ช้าลง...
สิ่งที่สำคัญคือ Natural selection บริษัทอยู่รอดและเติบโตภายใต้สภาวะแวดล้อมนั้นๆหรือไม่ บริษัทที่อยู่รอดระยะยาวอาจจะไม่ได้เคยโตเร็วที่สุด อาจจะไม่ได้ขนาดใหญ่ที่สุด (เหมือนไดโนเสาร์ที่สุดท้ายก็สูญพันธุ์ไป)
ถ้านักลงทุนหาบริษัทที่สามารถเติบได้ในระยะยาวได้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก แล้วบริษัทนั้นเป็นแบบไหนล่ะ?
นั่นคือ...1) บริษัทนั้นจะต้องมีความต้องการสินค้าและบริการมากขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว (แต่ไม่มีความต้องการไหนมากขึ้นตลอดไป...ยกเว้นปัจจัย 4 ที่อาจจะไม่หมดความต้องการแต่ความต้องการสามารถอิ่มตัวได้จากการแข่งขันผลิต supply จนล้นเกินความต้องการไปมาก) 2) บริษัทนั้นจะต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ในหลายรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น บริษัทหนังสือ เมื่อมีการเข้ามาของหนังสือบน tablet บริษัทหนังสือก็สามารถปรับตัวใช้ประโยชน์เติบโตตามได้ บริษัทที่ไม่ปรับตัวอาจจะลำบากขึ้น, บริษัทให้เช่า VDO เมื่อมีการเข้ามาของ CD DVD บริษัทที่ให้เช่าหนังก็สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์ตามได้ บริษัทที่ไม่ปรับตัวอาจจะลำบากขึ้น, บริษัททำมือถือ เมื่อมีการเข้ามาของอินเตอร์เนตและ social network บริษัทก็สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์เติบโตตามได้ บริษัทที่ไม่ปรับตัวทำแต่มือถือแบบเดิมๆก็อาจจะลำบาก เป็นต้น 3) มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว (DCA) เพราะเมื่อถึงจุดที่ต้องแบ่งเค้กกัน บริษัทที่มีความสามารถจุดเด่นที่เหนือกว่าคือบริษัทที่อยู่รอด
นั่นคือบริษัทคุณสมบัติที่เหมาะสมและเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ขอให้นักลงทุนดูทั้งบริษัท อุตสาหกรรม สภาพแวดล้อมโดยรวมไปพร้อมๆกันแล้วจะเห็นภาพว่าบริษัทที่เราลงทุนจะอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้หรือไม่ครับ
2. การถูกคัดเลือกของนักลงทุน
นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในหุ้นในช่วงตลาดกระทิงได้ผลกำไรงามกันถ้วนหน้า แต่ในระยะยาวเราไม่มีทางรู้ว่าจะเหลือคนที่อยู่รอดและชนะตลาดในระยะยาวได้มากแค่ไหน เหมือนไดโนเสาร์ที่เคยเป็นจ้าวโลกมาก่อนแต่พอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนก็สูญพันธุ์ไป
นักลงทุนที่อยู่รอดและเติบโตในระยะยาว ผ่านทั้งตลาดหมีและตลาดกระทิงมาอย่างยาวนาน นักลงทุนเหล่านี้คือบุคคลที่มีคุณสมบัติอยู่รอดและเติบโตในทุกสภาพแวดล้อมได้ พวกเขาหลายคนถูกเรียกว่าเป็นเซียนตัวจริงและส่งต่อแนวทางการลงทุนที่พวกเขาใช้ได้ผลให้กับคนรุ่นหลัง เกิดการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
นักลงทุนที่ผิดพลาดแล้วไม่ยอมปรับตัว เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ไม่หาข้อเสียของตัวเอง ย่อมเข้าสู่การสุญพันธุ์หมดตัวออกไปจากตลาดหุ้น
ในระยะยาวนักลงทุนจะมีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้การลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานหรือแนวทางเทคนิค เพราะคนที่เหลือรอดในระยะยาวที่ผ่านทุกสภาพแวดล้อมคือคนที่มีคุณภาพ คนที่ไม่มีคุณภาพจะทยอยออกจากตลาดไป
ดังนั้น...นักลงทุนต้องหาจุดแข็งที่ตนเองทำได้ดี ผสานกับแนวทางการลงทุนที่เข้ากับนิสัย และมีแผนรับมือไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม ซึ่งจุดแข็งผมแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก คือ 1) ความสามารถในการหาข้อมูล 2) ความสามารถในการวิเคราะห์ 3) ความสามารถในด้านจิตใจครับ (จะพูดถึงเรื่องนี้โดยละเอียดอีกครั้งในบทความถัดๆไปครับ)
สุดท้ายผมจะบอกว่า...สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญมากปัจจัยหนึ่ง
ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไรเราต้องอยู่รอดก่อน และค่อยเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปครับ
แต่ในช่วงที่ผ่านมา มีหนังสือ pop science ทางชีววิทยาโดยเฉพาะเรื่อง วิวัฒนาการ (Evolution) ออกมามากมายทั้งหนังสือภาษาไทยและหนังสือต่างประเทศ กลายเป็นว่า...ชีววิทยาสนุกกว่าที่คิด!! ผมรู้สึกสนุกมากกว่าการอ่านหนังสือชีววิทยาสมัยม.ปลายอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะการอ่านครั้งนี้เต็มไปด้วยความอยากรู้ ความสนุกและสามารถนำไปเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันได้
ผมลองจะอธิบายเรื่องวิวัฒนาการให้ฟังแบบสั้นๆนะครับ
การวิวัฒนาการ (Evolution)...ไม่ใช่การพัฒนาการ (Development) คนส่วนใหญ่ชอบใช้การวิวัฒนาการในความหมายของการพัฒนาตนเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ส่งผ่านพันธุกรรมไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน เช่น ถ้าเราขยันเล่นกล้ามจนกล้ามใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าลูกหลานของเราจะกล้ามใหญ่ไปด้วย เพราะการที่เล่นกล้ามจนกล้ามใหญ่ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พันธุกรรม
การวิวัฒนาการ (Evolution)...ไม่ใช่การปรับตัว (Adaptation) เช่น บางคนคิดว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ทำงานแต่ในห้อง ต่อไปมนุษย์จะหัวโตแขนขาลีบเพราะใช่แต่สมอง ซึ่งนี่ไม่ใช่วิวัฒนาการเพราะไม่ได้มีการส่งผ่านพันธุกรรมไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน แน่นอนว่าถ้าไม่ใช้แขนขาเลย แขนขาย่อมลีบลง แต่นี่คือการปรับตัวตามการใช้งานของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวมาในพันธุกรรมอยู่แล้ว
การวิวัฒนาการคือ...การเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรมจากรุ่นหนึ่งส่งต่อไปอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีความหมายว่าดีขึ้นหรือแย่ลง แต่สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดไปได้ต้องเหมาะสมที่อยู่รอดและขยายพันธุ์ในสภาวะแวดล้อมนั้นๆ
การศึกษาเรื่องวิวัฒนาการทำให้เรารู้เส้นการของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เซลเดียวจนมาถึงสิ่งมีชีวิตหลายเซลที่มีสมองส่วนหน้าพัฒนาอย่างมนุษย์เรา ผ่านการศึกษาอย่างมีหลักฐานอย่างมีเหตุผล ไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ
สิ่งที่ทำให้เกิดการวิวัฒนาการมีเรื่องหลัก 2 อย่าง
1. การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ซึ่งอาจจะมาจากการกลายพันธุ์ (Mutation) หรือ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual reproduction) ที่มีการแลกพันธุกรรมจากเพศผู้และเพศเมียอย่างละครึ่งทำให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม เมื่อพันธุกรรมเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตามมา เช่น สามารถผลิตโปรตีนบางชนิดได้ อวัยวะบางอย่างเปลี่ยนไป เป็นต้น
2. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural selection) สิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดคือ...สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดในสภาวะแวดล้อมนั้นและขยายเผ่าพันธุ์ได้ ยกตัวอย่างกรณียีราฟ ในอดีตกาลจะมียีราฟหลายพันธ์ทั้งคอยาวคอสั้น การที่เราเห็นยีราฟคอยาวในปัจจุบันแสดงว่า สภาพแวดล้อมในช่วงที่ผ่านมาทำให้ยีราฟคอยาวอยู่รอดและสืบพันธุ์ต่อเนื่องมาได้ ซึ่งสภาพแวดล้อมนั้นอาจจะเป็น ป่าที่มีแต่ต้นไม้สูง ทำให้ยีราฟคอสั้นหาอาหารไม่ได้และตายไป
เรื่อง Natural selection นี้เอง ทำให้ผมมองเห็นความสำคัญของ”สภาพแวดล้อม”ที่มีผลต่อการอยู่รอดและการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์ ซึ่งสภาพแวดล้อมนั้นต้องเหมาะสมกับสิ่งมีชีวิต
ในโลกของการลงทุน คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานาน คนที่อยู่ในวงการธุรกิจมานาน หรือคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังกลับไป จะพบการเกิด การคงอยู่ การขยายตัว การเสื่อมถอยและดับไปของทั้งบริษัท อุตสาหกรรม รวมถึงนักลงทุนและนักเก็งกำไร ที่มีทั้งอยู่รอดในตลาดหุ้นได้ ขาดทุนหมดตัวออกจากตลาดไป มีทั้งสร้างชื่อเป็นเซียนได้ชั่วคราวแค่ในช่วงตลาดขาขึ้น แต่ตลาดขาลงเอาตัวไม่รอดต้องออกจากตลาดไป มีทั้งเซียนตัวจริงที่อยู่รอดและเติบโตได้ในทุกสถานการณ์
ลองมาดูมุมมองเรื่อง Natural selection ในโลกแห่งการลงทุนกันนะครับ
Natural selection ในโลกแห่งการลงทุน
ผมจะแบ่งเรื่องนี้ออกเป็น 2 หัวข้อ คือ การถูกคัดเลือกของบริษัทและการถูกคัดเลือกของนักลงทุน
1. การถูกคัดเลือกของบริษัท
สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อุตสาหกรรมใดจะเติบโตได้ต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ในเรื่องเทคโนโลยี...เมื่อ 50 ปีก่อนการสื่อสารยังไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน ถ้ามีใครสักคนเอาเครื่องโทรศัพท์มือถือมาขายโดยที่ยังไม่มีเครือข่ายสัญญาณ โทรศัพท์มือถือนั้นก็ขายไม่ได้ หรือ ในสมัยที่ยังไม่มีการใช้ไฟฟ้า ถ้ามีใครเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทันสมัยที่สุดจากโลกตะวันตกเข้ามาขาย เครื่องใช้ไฟฟ้าจะขายไม่ออกเพราะไม่มีระบบไฟฟ้ารองรับ หรือ ในสมัยที่ยังไม่มีรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม น้ำมันคงยังไม่เป็นที่ต้องการมากเท่าปัจจุบัน เป็นต้น ดังนั้นแม้สินค้าและบริการดีแค่ไหน..แต่ถ้าสภาพแวดล้อมโดยรวมไม่เอื้ออำนวยธุรกิจและอุตสาหกรรม ธุรกิจก็ไม่สามารถจะอยู่รอดและเติบโตได้
รวมถึงเมื่อสินค้าและบริการบางอย่างเริ่มทยอยหายไปตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เช่น กล้องแบบใช้ฟิล์มเริ่มหายไปจากการเข้ามาของกล้องดิจิตอล ที่ถ่ายรูปได้แบบไม่เปลืองฟิล์ม ถ่ายแล้วปรับกการทำงานได้มากมาย ใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์ได้, เครื่องพิมพ์ดีดเริ่มหายไปหลังจากการเข้ามาของคอมพิวเตอร์กับปรินเตอร์ การใฃ้งานคอมพิวเตอรืในการพิมพ์งานเป็นที่นิยมและสะดวกกว่ามาก, ธุรกิจร้านตัดเสื้อเริ่มหายไปหลังจากมีการเข้ามาของโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเสื้อผ้าได้ครั้งละจำนวนมาก, เพจเจอร์ที่รับส่งข้อความเริ่มหายไปหลังจากมีการเข้ามาของการส่งข้อความโดยตรงทางโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น แม้สินค้าและบริการดีแค่ไหน..แต่ถ้ามีสินค้าและบริการที่ทดแทนความต้องการในระดับที่เหนือชั้นกว่า ธุรกิจและอุตสาหกรรมเดิมก็ไม่สามารถอยู่รอดและเติบโตได้
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบบในระดับนโยบายโดยรวมก็ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเช่นกัน...เช่น การเกิดขึ้นของการค้าเสรี ทำให้มีผลดีต่ออุตสาหกรรมขนส่งโลจิสติกส์ ในการขนส่งสินค้าของประเทศที่มี Supply เหลือมากไปยังประเทศที่ยังมี Demand เหลือมาก บริษัทที่แข็งแกร่งและเติบโตสูงสามารถเพิ่มเพดานการขยายตัวขึ้นไปได้อีก แต่การค้าขายในประเทศอาจจะเกิดการแข่งขันมากขึ้นอาจจะส่งผลเสียต่อบริษัทที่ไม่มีจุดเด่นหรืออ่อนแอ, หรือ การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย ทำให้ญี่ปุ่นและประเทศทางตะวันตกเข้ามาเปิดโรงงานมากมายเพราะค่าแรงในแถบเอเชียไม่แพงเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แรงงานในระบบไหลเข้าโรงงาน คนรับใช้เริ่มลดลงเพราะไปเป็นคนงานในโรงงานหมด, รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมบางอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ สินค้าส่งออกต่างๆ เป็นต้น
แน่นอนว่ามีธุรกิจบางอย่างที่ไม่ขึ้นกับสภาพแวดล้อมมากนัก เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับปัจจัย 4 อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งหุ่ม ยารักษาโรค แต่มองไปให้ลึกแล้วจะพบว่ามีบริษัทในอุตสาหกรรมล้มหายตายจากไปมากมาย เหลือคงอยู่เป็นผู้ชนะไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ถูก Selection
ในอนาคตอันใกล้ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น การสื่อสารคมนาคนที่เร็วขึ้นจากการเกิดของ 3G และเครือข่ายอินเตอร์เนตความเร็วสูง, การเกิดของ AEC (Asian economic community) เขตเศรษฐกิจอาเซียน, การเกิดของรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากประเทศจีน, ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในทวีปยุโรป, ความแปรปรวนของภูมิอากาศ ปัจจัยสภาพแวดล้อมในทางเศรษฐกิจต่างๆที่ยกขึ้นมานี้...อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้มีการล้มหายตายจากของธุรกิจในบางอุตสาหกรรม อาจเกิดการล้มหายตายจากของบางธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ดูเหมือนจะเติบโต อาจจะเป็นปัจจัยในการรุ่งเรืองของธุรกิจในบางอุตสาหกรรม อาจเกิดความรุ่งเรืองเติบโตของบางธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ดูเหมือนจะโตได้ช้าลง...
สิ่งที่สำคัญคือ Natural selection บริษัทอยู่รอดและเติบโตภายใต้สภาวะแวดล้อมนั้นๆหรือไม่ บริษัทที่อยู่รอดระยะยาวอาจจะไม่ได้เคยโตเร็วที่สุด อาจจะไม่ได้ขนาดใหญ่ที่สุด (เหมือนไดโนเสาร์ที่สุดท้ายก็สูญพันธุ์ไป)
ถ้านักลงทุนหาบริษัทที่สามารถเติบได้ในระยะยาวได้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก แล้วบริษัทนั้นเป็นแบบไหนล่ะ?
นั่นคือ...1) บริษัทนั้นจะต้องมีความต้องการสินค้าและบริการมากขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว (แต่ไม่มีความต้องการไหนมากขึ้นตลอดไป...ยกเว้นปัจจัย 4 ที่อาจจะไม่หมดความต้องการแต่ความต้องการสามารถอิ่มตัวได้จากการแข่งขันผลิต supply จนล้นเกินความต้องการไปมาก) 2) บริษัทนั้นจะต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ในหลายรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น บริษัทหนังสือ เมื่อมีการเข้ามาของหนังสือบน tablet บริษัทหนังสือก็สามารถปรับตัวใช้ประโยชน์เติบโตตามได้ บริษัทที่ไม่ปรับตัวอาจจะลำบากขึ้น, บริษัทให้เช่า VDO เมื่อมีการเข้ามาของ CD DVD บริษัทที่ให้เช่าหนังก็สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์ตามได้ บริษัทที่ไม่ปรับตัวอาจจะลำบากขึ้น, บริษัททำมือถือ เมื่อมีการเข้ามาของอินเตอร์เนตและ social network บริษัทก็สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์เติบโตตามได้ บริษัทที่ไม่ปรับตัวทำแต่มือถือแบบเดิมๆก็อาจจะลำบาก เป็นต้น 3) มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว (DCA) เพราะเมื่อถึงจุดที่ต้องแบ่งเค้กกัน บริษัทที่มีความสามารถจุดเด่นที่เหนือกว่าคือบริษัทที่อยู่รอด
นั่นคือบริษัทคุณสมบัติที่เหมาะสมและเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ขอให้นักลงทุนดูทั้งบริษัท อุตสาหกรรม สภาพแวดล้อมโดยรวมไปพร้อมๆกันแล้วจะเห็นภาพว่าบริษัทที่เราลงทุนจะอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้หรือไม่ครับ
2. การถูกคัดเลือกของนักลงทุน
นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในหุ้นในช่วงตลาดกระทิงได้ผลกำไรงามกันถ้วนหน้า แต่ในระยะยาวเราไม่มีทางรู้ว่าจะเหลือคนที่อยู่รอดและชนะตลาดในระยะยาวได้มากแค่ไหน เหมือนไดโนเสาร์ที่เคยเป็นจ้าวโลกมาก่อนแต่พอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนก็สูญพันธุ์ไป
นักลงทุนที่อยู่รอดและเติบโตในระยะยาว ผ่านทั้งตลาดหมีและตลาดกระทิงมาอย่างยาวนาน นักลงทุนเหล่านี้คือบุคคลที่มีคุณสมบัติอยู่รอดและเติบโตในทุกสภาพแวดล้อมได้ พวกเขาหลายคนถูกเรียกว่าเป็นเซียนตัวจริงและส่งต่อแนวทางการลงทุนที่พวกเขาใช้ได้ผลให้กับคนรุ่นหลัง เกิดการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
นักลงทุนที่ผิดพลาดแล้วไม่ยอมปรับตัว เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ไม่หาข้อเสียของตัวเอง ย่อมเข้าสู่การสุญพันธุ์หมดตัวออกไปจากตลาดหุ้น
ในระยะยาวนักลงทุนจะมีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้การลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานหรือแนวทางเทคนิค เพราะคนที่เหลือรอดในระยะยาวที่ผ่านทุกสภาพแวดล้อมคือคนที่มีคุณภาพ คนที่ไม่มีคุณภาพจะทยอยออกจากตลาดไป
ดังนั้น...นักลงทุนต้องหาจุดแข็งที่ตนเองทำได้ดี ผสานกับแนวทางการลงทุนที่เข้ากับนิสัย และมีแผนรับมือไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็ตาม ซึ่งจุดแข็งผมแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก คือ 1) ความสามารถในการหาข้อมูล 2) ความสามารถในการวิเคราะห์ 3) ความสามารถในด้านจิตใจครับ (จะพูดถึงเรื่องนี้โดยละเอียดอีกครั้งในบทความถัดๆไปครับ)
สุดท้ายผมจะบอกว่า...สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญมากปัจจัยหนึ่ง
ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไรเราต้องอยู่รอดก่อน และค่อยเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปครับ
ติดตามอยู่ครับ หายไปนานให้คิดถึงนะเนี่ย อิอิ :D
ตอบลบขอบคุณครับพี่ Unsign :D
ลบชอบคับ :)
ตอบลบคุณหมอหายไปนานเลยครับ กลับมาทีมีตอนใหม่ยาวเลย :D
สงสัยอั้นไว้นานครับ 55
ลบไปตกผลึกได้จากที่อังกฤษหรือเปล่าครับเนี่ย :)
ตอบลบประเด็นของนักลงทุนน่าสนใจครับ ถ้าคิดตามนี้แมงเม่าน่าจะสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ แต่ความจริงเรากลับพบแมงเม่าหน้าเก่าหน้าใหม่โผล่เข้ามาในตลาดอยู่เสมอ ไว้ว่างๆ ขออนุญาตเอาไปคิดต่อยอดนะครับ ได้ความว่ายังไงแล้วจะเอามาแบ่งปันกัน
ตอนไปอังกฤษคุยกับอาจารย์เรื่อง Evolution เยอะน่ะครับ โดยเฉพาะเรื่อง Evolution medicine ทำให้เข้าใจว่าอาการป่วยบางอย่างไม่ใช่โรคที่เกิดจาก defect เป็นเป็นสิ่งที่ถูก select มาครับ
ลบส่วนประเด็นเรื่องนักลงทุนแมงเม่า ผมว่าส่วนใหญ่ไม่ได้สูญพันธุ์ไปจริงครับ พอมีเงินแล้วเห็นตลาดขาขึ้นมีคนได้กำไรเยอะก็จะกลับเข้ามาใหม่ ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้จะมีความมั่นใจในตัวเองมากกว่านักลงทุนที่เก่งๆซะอีก :P
แล้วผมจะรออ่านนะครับ
ตกผลึกแล้วครับที่ http://www.monkeyfreetime.com/2012/02/blog-post.html จุดสำคัญคือพยายามมองหา "บริษัท" ที่ธรรมชาติคัดเลือก และพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของ "นักลงทุน" ที่ธรรมชาติคัดเลือก เพื่อที่เราเองจะได้ไม่ไปอยู่ในกลุ่มที่จะสูญพันธุ์ครับ
ลบขอบคุณที่คุณ Antoni ที่ร่วมกันคิดต่อยอดครับ
ลบเห็นด้วยเลยครับ
ผมว่าการไม่ฝืนธรรมชาติและกฎของธรรมชาติจะทำให้เราอยู่รอดได้ในท้ายที่สุดครับ ...บริษัทเองต้องมีคุณสมบัติที่ธรรมชาติคัดเลือก นักลงทุนเองต้องมีคุณบัติที่ธรรมชาติคัดเลือกเช่นกันครับ
:D
สวัสดีครับ
ตอบลบช่วงนี้ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และพฤติกรรมหลายเล่มอยู่เหมือนกันครับ
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ วิวัฒนาการของสมองมนุษย์ ที่ยังเต็มไปด้วยร่องรอยของสัตว์ที่เป็นบรรพบุรุษ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิตประจำวัน จนมีศาสตร์ต่าง ๆ ที่ศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจ และการเลือก (ซึ่ง ผลของมันบ่งในทางว่า มนุษย์เราทำได้ไม่ดีนัก) อย่าง behavioral economics หรือ game theory
อยากฟังความเห็นของคุณหมอก๊อบในฐานะที่มีความรู้ เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ครับ
พี่จิ
ขอบคุณพี่จิที่ให้เกียรติเข้ามา comment ครับ
ลบสมองมนุษย์ผ่านการวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านี้อย่างที่พี่จิว่าครับ มีตั้งแต่ reptile brain, mammalian brain, ape brain และล่าสุดที่มนุษย์มีคือ frontal lobe
Danial Kanehman นักจิตวิทยารางวัลโนเบลได้กล่าวไว้ในหนังสือ Thinking fast and slow ว่า สมองคนเราทำงาน 2 ระบบไปพร้อมๆกัน System 1 จะรวดเร็ว ชอบใช้ intuition ชอบเชื่อมโยง ชอบเปรียบเทียบ ซึ่งเราควบคุมไม่ได้ เป็นที่มาของการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลได้บ่อยๆ
ส่วน System 2 จะช้า ต้องใช้สมาธิและตั้งใจพอสมควร แน่นอนการใช้ system 2 เป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลกว่า
แต่ system 1 ที่ถูกคดเลือกมาเพื่อให้คนอยู่รอด เพราะในเวลาเผชิญอันตรายต้องรีบตัดสินใจ เช่น สิงโตมา ต้องรีบหนี มนุษย์ที่ใช้แต่ system 2 คอยไปประเมินช้าๆก็ไม่รอดมาถึงทุกวันนี้
ทำให้ในตลาดหุ้น...เราจึงเห็น emotion จึงส่งผลต่อราคาหุ้น เนื่องจากนักลงทุนใช้ system 1 นั่นเองครับ
:D
สุดยอดดดดด คิดถึงเรื่อง Creative Destruction ในตลาดหุ้นขึ้นมาในทันทีเลยครับ เรื่องนี้จริงแอบเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องของหุ้นนำตลาดในวัฐจักรต่างๆและค่าความแข็งแกร่งสัมพันธ์ด้วยนะครับ สนุกจริงๆ :D
ตอบลบดีใจที่น้องมดได้ไอเดียจากบทความนี้ครับ :D
ลบคิดต่อยอดได้อย่างไร ...อย่าลืมเล่าให้พี่ฟังด้วยนะ
เห็นตัวเลยครับเหมือนทุกอย่างเป็นเช่นนั้นไม่มีการวิวัฒนาการก็ต้องตายหรือล้มหายไป บริษัทหลายบริษัทที่อายุหลายสิบปีก็เลือกที่จะแตกหน่อ เพื่อสู้กับการปรับตัว ประมาณว่าแตกเพื่อโต คล้ายๆต้นไผ่ที่เมื่อต้นสูงขึ้น หลายต้นรวมกันเป็นกอก็จะแข็งแรงกว่า ต้นใหญ่และสูงตระหง่าน แต่เมื่อพายุมาก็มีโอกาสหักโค่นลงได้ทุกเมื่อ
ตอบลบคุณ Chaipat เจ้าของเพจ cway-investment หรือเปล่าครับ?
ลบขอบคุณมากที่เข้ามาเยี่ยมชม blog ผม ผมเคยเข้าไปอ่านบทความของ cway-investment หลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะอ่านแต่แนวปัจจัยพื้นฐานน่ะครับ (ผมไม่รู้เรื่องเทคนิคอลเลย แต่ชอบอ่านแมงเม่าคลับของคุณมดเพราะได้ไอเดียเรื่อง จิตวิทยาการลงทุน, money management, ไอเดียการใช้เทคนิคคอลแบบง่ายๆไปใช้ครับ) ผมขอนำ blog cway-investment ไปใส่ blog แนะนำนะครับ
เห็นด้วยกับประเด็นเรื่องแตกหน่อครับ พอแตกหน่อเกิดความหลากหลายที่ส่งเสริมกัน ทำให้แต่ละหน่อแข็งแรงขึ้น เติบโตขึ้น ภาพรวมทั้งกอก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เจอสภาพแวดล้อมแบบไหนก็อยู่รอดได้มากขึ้น
การควบรวมกิจการ การแตกบริษัทย่อยที่เติบโตสูงๆออกมา คงจะเป็นความพยายามของบริษัทต่างๆที่จะอยู่รอดให้ได้ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงในระบบทุนนิยมครับ
:D
เนื้อหาในบล็อกน่าสนใจดีครับ มีความแตกต่างจากบทความทั่วไป
ตอบลบ-สุมาอี้
ขอบคุณมากครับพี่สุมาอี้ idol การลงทุนที่ผมนับถือ
ลบเพราะพี่...ผมถึงมีวันนี้ครับ -/\-
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวไม่ได้ก็ต้องตายจากไปเป็นธรรมดา IEC ก่อตั้งมาตั้งแต่ 2465 ตอนนี้ก็ยังอยู่แต่วิวัฒนาการเป็นอะไรก็ไม่รู้ 555
ตอบลบ555
ลบขอบคุณสำหรับบทความน่าสนใจมากครับ พี่หมอก๊อบนี่เป็นสุดยอดนักคิดจริงๆ
ตอบลบ