“คุณเชื่อมั๊ยว่าชะตาชีวิตคนเราถูกกำหนดมาแล้ว?”
ประเทศไทยมีอาชีพหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโชคชะตาที่เฟื่องฟูมากๆ...นั่นคือ หมอดู เราจะพบเห็นหมอดูชื่อดังได้มากมายตั้งแต่ตามบริการทางโทรศัพท์ ตามโรงแรม หรือ ตามสวนสาธารณะต่างๆ...เวลาผมเข้าร้านหนังสือมักจะเห็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการดูหมอมากมายและมีมาวางขายแบบไม่จบไม่สิ้น...เวลาที่คนทั่วไปเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนก็มักจะไปดูหมอเพื่อเอาคำทำนายเป็นที่พึ่งทางใจ...ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้น...
เมื่อตอนที่ผมเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆ...ผมมักจะดูคำทำนายดัชนีหุ้นของหมอดูชื่อดังคนนึง ผมมั่นใจมากว่าผมมีสิ่งที่คนอื่นไม่มี...พอผมอ่านคำทำนายย้อนหลังของหมอดูท่านนี้ ผมพบว่าหมอดูทำนายได้แม่นมากๆ...ผมเริ่มซื้อหุ้นตามหมอดูท่านนี้และเปิดไพ่ยิบซีเลือกหุ้นไปด้วย...555 โลกนี้จะมีใครกำไรได้เท่าผมอีก...ผลลัพธ์เหรอครับ ...“ขาดทุนเละ”
น่าแปลกที่เราอ่านคำทำนายของหมอดูทีไร...ทำไมถึงได้รู้สึกว่าแม่นขนาดนี้...นั่นเป็นเพราะเรามีอคติบางอย่างในใจครับ เวลาเราฟังคำทำนายเรามักจะหาเหตุผลมาสนับสนุนว่าคำนายของหมอดูถูกต้องมากกว่าจะมองว่ามีเหตุการณ์จริงที่ไม่ตรงกับคำทำนายหรือไม่...เมื่อหมอดูทำนายผิดเราก็มักจะลืมและไม่เอามาใส่ใจ...เราจึงมองว่าคำทำนายของหมอดูถูกเสมอ...
เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลชื่อก้องโลก...ได้ค้นพบหลักพื้นฐานของทวิภาค(เป็นได้ทั้งอนุภาคและคลื่น)ของอิเล็กตรอนว่า...ไม่มีทางระบุตำแหน่งและโมเมนตัมได้แม่นยำพร้อมกัน...หลักการนี้เรียกว่า...หลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก (Heisenberg’s uncertainty principle) นั่นคือ...ถ้าหากวัดตำแหน่งอนุภาคได้แม่นยำจะบอกไม่ได้ว่าโมเมนตัมมีค่าเท่าไร และหากระบุค่าโมเมนตัมได้อย่างแม่นยำจะไม่มีทางบอกได้เลยว่าอนุภาคอยู่ในตำแหน่งใด...
และนี่คือหลักความจริงของสิ่งที่เป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง...ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอนคาดการไม่ได้อย่างแม่นยำ...
จอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรระดับโลก ได้กล่าวว่า...” Financial markets generally are unpredictable. The idea that you can actually predict what’s going to happen contradicts my way of looking at the market.” ...”ตลาดเงินโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถทำนายได้...ความคิดที่ว่านักลงทุนสามารถทำนายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนั้นขัดแย้งกับมุมมองของผมที่มีต่อตลาด” ...จะเห็นได้ว่าแม้แต่นักเก็งกำไรระดับโลกยังไม่เชื่อเลยว่าตลาดนั้นทำนายได้อย่างแม่นยำ
และการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบและเชื่อการทำนายนั้นจะนำไปสู่อคติ(Bias)อีก 2อย่าง ที่ผมกำลังจะพูดต่อไป
4. Confirmation and Hindsight Bias ...อคติจากการมองด้านเดียวและอคติจากการมองย้อนหลัง..
ความประทับใจครั้งแรก(First impression) ยากที่จะสั่นคลอนเพราะคนเรามีแนวโน้มที่มีการคัดกรองและให้ความสนใจกับข้อมูลที่สนับสนุนความคิดของตนเอง หลายๆครั้งมนุษย์ไม่ได้ใช้เหตุผลในการเลือกแต่มนุษย์เลือกก่อนแล้วหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตน ขณะที่ละเลยไม่สนใจข้อมูลอีกด้านหนึ่ง นี่คือ...อคติจากการมองด้านเดียว (Confirmation Bias)
เวลาที่หนุ่มสาวตกหลุมรักกันใหม่ๆ...จะเห็นว่าต่างฝ่ายต่างมองคู่รักว่าเป็นเทพบุตรเทพธิดาที่ดีเลิศไม่มีข้อเสียใดๆหรือถ้ามีก็เล็กน้อยมองข้ามไป...บางครั้งคนเหล่านี้ใจเร็วด่วนได้ตัดสินใจแต่งงานกันไปโดยไม่ศึกษากันให้นานพอ มีผู้หวังดีหรือผู้ใหญ่เตือนก็มักจะไม่สนใจ กลายเป็นว่าเมื่อเจอด้านไม่ดีที่เคยมองข้ามหรือไม่เคยมองกลับไม่สามารถรับฝ่ายตรงข้ามได้อีกต่อไปและต้องทนอยู่ด้วยกันอย่างทุกข์ทรมานจะเลิกก็เลิกไม่ได้...
ในการลงทุน Confirmation Bias ทำให้นักลงทุนจะหาข้อมูลที่มาสนับสนุนความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการลงทุนมากกว่าหาข้อมูลมาโต้แย้ง ซึ่งเป็นผลให้เกิดการตัดสินใจผิดเพราะข้อมูลด้านเดียวจะทำให้กรอบความคิดของนักลงทุนบิดเบือนไป เหมือนภาพที่ไม่สมบูรณ์...
เช่น...นักลงทุนได้ข่าวลือไม่ทราบที่มาว่าหุ้น...ABC จะมีข่าวดีและจะวิ่งขึ้นอย่างรุนแรง เขาจะพยายามหาข้อมูลและบทวิเคราะห์ที่มาสนับสนุนและพิสูจน์ว่าหุ้นจะขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อดีเรื่องหนี้สินต่อทุนที่ต่ำหรือกระแสเงินสดที่ดีขึ้น แต่ละเลยข้อเสียที่นำไปสู่การผิดพลาด เช่น การสูญเสียลูกค้าคนสำคัญหรือมูลค่าตลาดสินค้าโดยรวมที่นับวันจะลดลงเรื่อยๆ...หรือการที่เราเป็นลูกค้าของหุ้นที่เราถือเราก็จะมองเห็นแต่ข้อดีของกิจการนั้นๆ
เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนสมเหตุสมผล นักลงทุนควรจะหาข้อมูลให้ครบทุกด้าน สอบถามนักลงทุน ผู้บริหาร ผู้บริโภค ทั้งด้านที่สนับสนุนและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับข้อมูลด้านที่ขัดแย้งกับความคิดของตนเอง...เพื่อให้ภาพของการลงทุนสมบูรณ์ที่สุด
อคติอีกอย่างที่ผมจะพูดถึงคือ...Hindsight bias ...คือความเชื่อของนักลงทุนที่ว่าตลาดทำนายได้ โดยมองข้อมูลย้อนกลับหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว...เวลาที่เกิดเหตุการณ์ในอดีตสามารถคาดเดาและทำนายได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ในความจริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่สามารถทำนายได้...
เราจะเห็นว่ามีนักลงทุนมากมายบอกว่าเขารู้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์เกิดไปแล้ว...เช่น ผมรู้อยู่แล้วว่าหุ้นตัวนี้มันจะขึ้น ทั้งที่จริงๆก็ไม่ได้ซื้อไว้, ผมรู้อยู่แล้วว่าดัชนีจะไป 400 จุดช่วงมีวิกฤตsubprime ทั้งที่จริงๆติดดอยอยู่ทุกตัว...ถ้ารู้จริงๆไม่short TFEX หมดหน้าตักไปเลยล่ะครับ...
หรือเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงอย่าง...Tulip bubble และ South sea bubble ก็มีคนมากมายที่มองย้อนกลับไปแล้วบอกว่าเหตุการณ์ฟองสบู่นี้ชัดเจนมากๆ
แต่เหตุการณ์หลายครั้งก็ดูเหมือนจะคาดได้จริงๆถ้ามองย้อนกลับไป ...นั่นเป็นเพราะว่าความต้องการดั้งเดิมของคนเราต้องการคำอธิบายว่าโลกนี้คาดการณ์ได้ ตั้งแต่วัยเด็กที่เราจะเห็นว่าพ่อแม่เลี้ยงดูเราอย่างดีให้นมตรงเวลาเข้านอนตรงเวลา มาหามาดูแลอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คนเรามั่นคงภายในและคิดว่าโลกนี้ปลอดภัยคาดเดาได้...ในขณะที่เหตุการณ์ทางวิทยาศาสตร์หลายๆอย่างก็คาดเดาได้ เช่น การเคลื่อนที่ของดวงดาว เมื่อคนเราเลือกจะเชื่อความมั่นคงปลอดภัยและการคาดการณ์ได้ทำให้คนเรามองความจริงผิดไป ...ตลาดหุ้นนั้นเป็นผลรวมของเหตุการณ์ทางกายภาพและผลสะท้อนของจิตใจมนุษย์ทำให้คาดการณ์อย่างแม่นยำไม่ได้...เพราะเหตุปัจจัยนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การที่เราคิดว่าตลาดหุ้นคาดการณ์ได้จะนำไปสู่ความมั่นใจในตัวเองเกินไป (Overconfidence) ที่ผมพูดไปเมื่อบทก่อนๆ...และทำให้การลงทุนของเราเสียหายได้ เพราะเราจะวิ่งเข้าหาความเสี่ยงสูงโดยไม่ระวังอยู่ตลอดเวลา
ตอนเรียนแพทย์ผมไม่ชอบอายุรศาสตร์(Medicine)เลย แต่ผมชอบเรียนประสาทวิทยา(Neurology)...โดยเฉพาะตอนวิเคราะห์วินิจฉัยโรค คนนำเสนอข้อมูลจะค่อยๆเปิดเผยมาทีละส่วน...คนที่วิเคราะห์จะได้ข้อมูลเฉพาะตอนแรกเท่านั้น แต่ต้องวิเคราะห์ให้ภาพรวมตรงประเด็นและถูกต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วถึงจะมีการเปิดเผยข้อมูลที่เหลือตามลำดับ...ทำให้ความคิดถูกรบกวนจากการมองผลลัพธ์ย้อนกลับไปน้อยมาก ซึ่งต่างกับการพิพากษาคดีทางการแพทย์จะรวมรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วมองย้อนกลับไป...ทำให้มีอคติจาการมองย้อนกลับได้ เช่น ทำไมตอนนั้นไม่ทำอย่างนั้นล่ะ ทำไมไม่ส่งไปรพ.จังหวัดล่ะ ทั้งๆที่ในขณะนั้นแพทย์ก็ได้ให้การรักษาที่เหมาะสมที่สุดเท่าที่สถาณการณ์จะอำนวยแล้ว...
นักลงทุนสามารถลดอคติชนิดนี้ได้โดยการมองจากปัจจุบันไปข้างหน้าและจดบันทึกความคิดที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไว้ แล้วมาอ่านดูว่าเราคิดอะไรในขณะนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ประเมินว่าความคิดตอนนั้นถูกต้องหรือไม่ จะได้ช่วยลดความมั่นใจเรื่องการคาดการตลาดได้ลงไปครับ...
เห็นหรือยังครับว่าอคติ 2 อย่างนี้ทำให้เราเชื่อว่าชีวิตคนเราทำนายได้ ถูกกำหนดมาแล้ว ...ดังนั้นถึงดูหมอหรือฟังนักวิเคราะห์มาแล้วก็อย่าไปเชื่อมากนะครับ...
เพราะชีวิตของเรา เรากำหนดเองครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น