วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้ออ้างที่จะไม่ยอมประสบความสำเร็จ

ฟังหัวข้อแล้วดูแปลกใช่ใหมครับ ก็ใครล่ะจะไม่อยากประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่ก็อยากประสบความสำเร็จกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน ความรัก ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การมีความสุข และถามว่าคนทั่วไปรู้มั๊ยว่าทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ เช่น อยากเรียนเก่ง ทุกคนก็รู้ว่าต้องขยันอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนในห้อง หมั่นทบทวนบทเรียน ฝึกทำข้อสอบ แต่ทำไมคนส่วนมากจึงไม่ประสบความสำเร็จการเรียนเท่าที่ควร หรืออยากผอม อยากหุ่นดี ทุกคนก็รู้ว่าต้องควบคุมอาหารให้พอเหมาะและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่เราก็ยังเห็นคนส่วนใหญ่ล้มเหลวเรื่องการลดน้ำหนัก (รวมทั้งผมด้วย T_T)

นั่นเป็นเพราะว่า เรารู้...แต่เราทำไม่ได้!!! เนื่องจากเหตุผลบางอย่างที่เราชอบใช้เป็นข้ออ้าง ยกตัวอย่างเช่น...กรณีลดน้ำหนัก  ”ช่วงนี้ทำงานหนักก็เลยหิวบ่อย”  “ไม่มีเวลาออกกำลังเลย”  “ขอกินก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยลด”  “ออกกำลังแล้วเหนื่อยทำงานไม่ไหว”  “ไม่ได้กินแล้วไม่แรงเลย” สารพัดเรื่องที่เราจะหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงทำไม่ได้ตามแผนที่วางไว้...หรือที่แย่กว่านั้นคือไม่ได้วางแผนไว้เลยตั้งแต่ต้น >_<”

ในเรื่องการลงทุนก็มีข้ออ้างมากมายเช่นกัน...

ด้วยความที่ผมสอนเรื่องการลงทุนให้กับมือใหม่หลายครั้งและพูดคุยกับคนนอกตลาดที่ไม่ได้ลงทุนหลายๆคน จะพบว่ามีความเชื่อหลายๆอย่างที่ผมคิดว่าเป็นอุปสรรคของการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

ข้ออ้างที่คนส่วนใหญ่ใช้เพื่อจะบอกว่าทำไมตัวเองลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ

1. ต้องรู้ทุกอย่าง ต้องมีข้อมูลภายใน แต่เราไม่ได้มีข้อมูลมากมายแบบนั้น

การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่ผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้นในตลาด เช่น ข่าวดี ข่าวร้าย ที่เข้ามากระทบกิจการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อที่เราจะมองทิศทางของกำไรของบริษัทซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้นในกระดานออก  เปรียบเหมือนการคำนวณการเคลื่อนที่ของวัตถุในวิชาฟิสิกส์เราจำเป็นต้องรูว่าแรงทั้งหมดที่มีผลต่อวัตถุนั้นมีแรงใดบ้าง แล้วเราจะเห็นทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้นอย่างแม่นยำ

แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ทุกเรื่อง ให้รู้เฉพาะสิ่งที่สำคัญต่อการวิเคราะห์หุ้น การวิเคราะห์บริษัท การประเมินมูลค่าก็พอ เรื่องยิบย่อยที่ไม่สำคัญ เช่น ผู้บริหารมีเมียน้อยกี่คน บริษัทมีเฟอร์นิเจอร์กี่ตัว ผู้บริหารนับถือศาสนาอะไร ฯลฯ...ก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ

รู้เฉพาะเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กๆน้อยๆที่มีความสำคัญในการวิเคราะห์บริษัทก็เพียงพอแล้วครับ (ส่วนต้องรู้เรื่องใดบ้าง ก็ต้องบอกว่าเรื่องที่มีผลกระทบต่อกำไรของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาวครับ) ประหยัดเวลาในการศึกษาข้อมูลด้วย  ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นข้อมูลที่เปิดเผยในสาธารณะครับ
           
ส่วนการใช้ข้อมูลภายใน (Inside trader) ทำคนเจ๊งมาหลายแล้วครับ ข้อมูลเด็ดแค่ไหนกว่าจะมาถึงมือรายย่อยอย่างเราก็คงรู้กันไปทั่วทั้งบางแล้วครับ ต่อให้เป็นรายใหญ่ การใช้ข้อมูลภายในก็เสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย และก็มีโอกาสที่ข้อมูลภายในอาจจะไม่เป็นจริงหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ของแบบนี้มันก็ไม่แน่

2. ต้องมีเงินตั้งต้นมากๆ แต่พอร์ตเราเล็กเกินไป

พอร์ตเริ่มต้นของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็ไม่ได้สูงมากทุกคน อย่างบัฟเฟตก็เริ่มต้นแค่ 100 เหรียญ (เฉพาะเงินของท่านเองแต่นอกนั้นระดมทุนคนอื่นมาลงทุนด้วย) หรือผมเองเริ่มต้นด้วยหลักแสนต้นๆ ซึ่งน้อยกว่ามือใหม่บางคนเสียอีก

แน่นอนว่าการมีเงินตั้งต้นมากๆเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้ประสบความสำเร็จได้เร็วถ้าลงทุนแล้วไม่ขาดทุนและได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยทบต้น แต่การมีเงินต้นมากแล้วไม่มีความรู้และทักษะในการลงทุนก็ทำให้เงินก้อนนั้นหมดไปได้เช่นกัน

ดังนั้นการลงมีเงินลงทุนมากในตอนต้นเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งเงินก้อนนี้ได้มาจากการออมเงิน ยอมที่จะไม่ซื้อของตามใจตนเองจนหมดแล้วออมเงินส่วนหนึ่งไว้จนเป็นเงินก้อนก็เพียงพอจะนำมาลงทุนได้

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการมีเงินต้นมากๆคือ ฝีมือในการลงทุนให้ได้กำไรและไม่ขาดทุนซึ่งจะทำให้พอร์ตเราโตเร็วมาก

3. ต้องโชคดี แต่เรามันโชคร้าย ไม่มีดวงในการเล่นหุ้น

หลายคนที่ลงทุนไม่สำเร็จมักจะบอกว่าตนเองไม่มีดวง และบอกคนที่ประสบความสำเร็จว่าเป็นเพราะโชคดีโดยไม่ดูที่มาเลยว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นเขาทำอย่างไรบ้าง เขามีวิธีการลงทุนอย่างไร

มีคำกล่าวว่า “Luck is what happens when preparation meets opportunity”  ซึ่งกล่าวโดย Seneca นักปรัชญาโบราณ นั่นคือโชคมาจากการเตรียมพร้อมเจอกับโอกาส บางคนเจอตลาดหุ้นตอนราคาถูกมากๆแต่ไม่ได้เก็บเงินไว้เลยจึงซื้อหุ้นไว้น้อย บางคนซื้อหุ้นที่ดีแล้วกลับรีบขายเพราะไม่ได้เตรียมตัวทำการบ้านเรื่องมูลค่าหุ้นมา พอขายไปแล้ววิ่งต่อก็คิดว่าตัวเองโชคไม่ดี บางคนซื้อแล้วราคาลงก็หวั่นไหวรีบขายเพราะไม่ได้วิเคราะห์พื้นฐานมาพอขายแล้วราคาก็วิ่งขึ้นไปก็คิดว่าตัวเองโชคไม่ดี บางคนซื้อหุ้นที่ราคาลดลงเห็นว่าราคาถูกแต่จริงๆพื้นฐานแย่ลงแล้วพอยิ่งลงก็ยิ่งซื้อเพิ่มสุดท้ายเงินจมแล้วก็มาบอกว่าตัวเองโชคร้าย

อย่าลืม...จงเตรียมพร้อมอยู่เสมอเมื่อโอกาสที่รอคอยมาถึงเราจะคว้ามันไว้ได้

(ขยายความ เช่น เตรียมพร้อมในการศึกษาพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว การบริหารเงินสดกับพอร์ต การเตรียมรับมือกับสถาณการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆ)

4. ต้องเข้าตอนตลาดวิกฤต แต่เราดันมาเริ่มเล่นหุ้นตอนดัชนีสูงแล้ว / ต้องเข้าช่วงตลาดดี แต่เราดันมาเข้าช่วงตลาดแย่

การได้เริ่มลงทุนตอนดัชนีต่ำๆนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองเพราะจะมีหุ้นราคาถูกเต็มไปหมด ซึ่งผมเองก็ได้ลงทุนตอนดัชนี 400-450 จุด ในช่วงเวลานั้นกลับไม่ค่อยมีใครคิดจะลงทุนในตลาดหุ้นเพราะดัชนีตลาดหุ้นเพิ่งตกลงอย่างมาก ข่าวร้ายเต็มตลาดไปหมด ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาลงทุนทั้งๆที่เป็นโอกาสทอง คนจะเริ่มลงทุนตอนที่ดัชนีสูงมากๆแล้วเพราะได้เห็นการเคลื่อนที่ขึ้นของดัชนีอย่างต่อเนื่อง รู้สึกสบายใจมากกว่าที่จะลงทุน

บรรยากาศตอน 400 จุดนั้น ก็มีคนมากมายที่คาดว่าดัชนีจะลงไปถึง 200 จุด แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น พอดัชนีขึ้นไปถึง 500 จุด ผู้คนก็ต่างคิดว่านี่คือดอยแน่ๆ...แต่กว่าเราจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหตการณ์นั้นก็ได้ผ่านไปแล้ว (ปัจจุบันเกิน 1000 ไปแล้ว) เรารู้หลังจากทุกสิ่งได้เกิดขึ้นแล้ว และอยากจะย้อนเวลากลับไปลงทุนใหม่ที่ดัชนีต่ำๆ

แต่ในความจริงนักลงทุนทุกคนไม่มีใครซื้อหุ้นในอดีตหรืออนาคตได้ ทุกคนต้องซื้อหุ้นที่ราคาปัจจุบันเท่านั้น ถ้าราคายังถูกอยู่มากเมื่อเทียบกับมูลค่าและมีปัจจัยขับดันราคาอย่างชัดเจนก็ซื้อลงทุนได้ ถ้าราคาแพงและเกินมูลค่าก็อาจจะพิจารณาขาย ถ้าราคายังแพงมากก็ไม่ต้องซื้อและรอไปก่อน

นั่นคือสิ่งที่เราเลือกได้...จะ “ซื้อ” “ถือ” หรือ “ขาย” ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราในปัจจุบัน เราเลือกเองครับ

นั่นคือทุกสิ่งที่เราทำตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัจจุบัน ซึ่งผ่านมาจากอดีตและมองไปยังอนาคต การจมอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว หรือการเพ้อฝันถึงอนาคตที่ไม่ได้มองจากปัจจุบันเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องระวัง

หลายๆคนชอบลงทุนในช่วงตลาดดีด้วยซ้ำ เพราะได้กำไรเร็วดี ดัชนีและราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตอนเศรษฐกิจตกต่ำช่วงที่ผมเข้าลงทุน ไม่มีใครรู้หรอกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ ต่างคนก็กลัวว่าจะขาดทุนและเงินจม คนที่ลงทุนตอนนั้นต้องกล้ามากกว่าคนอื่นและมีวิสัยทัศน์พอควรเลยทีเดียว

ขอให้พอใจกับช่วงเวลาที่เราเข้าลงทุนในปัจจุบันเถอะครับ แล้วชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ ถ้าหุ้นแพงก็รอไปก่อนแค่นั้นเอง เดี๋ยวมันก็ต้องมีช่วงเวลาลดราคาลงมาให้ซื้อ

5. คนอื่นลงทุนเยอะ แต่เราลงทุนน้อยจึงได้ผลตอบแทนน้อย

หลายคนไม่กล้าซื้อหุ้นเยอะเล่นแค่ 10% ของพอร์ตทั้งหมด เพราะในใจอาจจะกลัวว่าขาดทุนหรือรับความเสี่ยงได้เพียงเท่านี้ หลายๆคนลงทุนในหุ้นเต็มพอร์ตเพราะมองเห็นว่าเป็นโอกาสทองเนื่องจากศึกษามาอย่างดีจึงกล้าเอาเงินทั้งหมดไปลง หลายๆคนลงทุนในหุ้นโดยใช้เงินมาร์จิ้นเพราะประเมินแล้วว่าโอกาสที่หุ้นตกมีน้อยมากและโอกาสที่หุ้นจะขึ้นหนักมีสูงมาก จึงกล้าใช้มาร์จิ้นอย่างไตร่ตรองและยอมรับผลถ้าไม่เป็นไปตามที่คิด

ในช่วงที่เหตุการณ์ยังไม่เปิดเผยและก้ำกึ่งว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง คนที่ลงทุนในหุ้นน้อยๆหรือไม่ได้ลงทุนในหุ้นก็อาจจะเหน็บแนมคนที่ลงทุนมากๆ และพูดถึงเรื่องระวังขาดทุน เมื่อทุกสิ่งเปิดเผยตัวออกมาหุ้นได้พุ่งขึ้นสูงมาก คนที่ซื้อน้อยก็จะบอกว่าที่ตัวเองได้กำไรน้อยเป็นเพราะซื้อไว้น้อย ถ้าซื้อเยอะกว่านี้ก็คงได้กำไรพอๆกับคนที่ลงทุนเต็มพอร์ตไปแล้ว

นั่นเป็นเพราะตัวคนที่ลงทุนน้อยไม่ได้พอใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ไม่ได้ยอมรับว่าตัวเองไม่มั่นใจและรับความเสี่ยงได้น้อยจึงได้ผลตอบแทนน้อย รวมถึงไม่ให้เครดิตกับคนที่อ่านเกมส์ออกและลงทุนมาก หลังจากนั้นพอพวกเขาอยากจะได้กำไรมากๆก็ลงทุนมากโดยประเมินความเสี่ยงน้อยลง ไม่รอบคอบก็อาจจะขาดทุนหนักได้ ...ทั้งนี้ไม่ใช่อะไรเลย ความอิจฉาริษยาในใจนั่นเองที่ทำร้ายเรา ทำลายความคิดเป็นเหตุเป็นผลของเราไป

ยินดีกับคนที่ประสบความสำเร็จและเรียนรู้จากเขาดีกว่าครับ

และคนที่ลงทุนมากและได้กำไรเป็นกอบเป็นกำก็ไม่ควรจะไปเหน็บแนมเอาคืนคนที่มาต่อว่า เพราะมีแต่สร้างความบาดหมางเปล่าๆ การที่ได้กำไรและทุกอย่างเป็นไปตามแผนก็เป็นรางวัลที่ดีที่สุดแล้วครับ

6. ต้องมีเวลาเฝ้าตลาด แต่เราต้องทำงานงานประจำจึงไม่ได้เฝ้าตลาด

คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าตัวเองไม่ได้เฝ้ากระดานหุ้นทำให้ได้ผลตอบแทนน้อย แต่ความจริงแล้วการเฝ้ากระดานในระหว่างวันอาจจะทำให้ได้ผลตอบแทนน้อยลงไปอีก เนื่องจากการเคลื่อนที่ขึ้นลงของราคาหุ้นมีผลต่ออารมณ์ของนักลงทุนเป็นอย่างมาก พอหุ้นขึ้นก็อยากรีบขายเพราะกลัวหุ้นลงแล้วจะไม่ได้ขาย หรือตอนหุ้นลงแรงๆก็รีบขายออกเพราะกลัวว่าหุ้นจะลงไปอีก พอขายไปแล้วหุ้นขึ้นก็มานั่งเจ็บใจ โดยที่ลืมไปเลยว่าหลักการลงทุนของตัวเองคืออะไร วิ่งตามนายตลาดอย่างเดียว นายตลาดชี้นิ้วสั่งให้ทำอะไรก็ทำ

ผมเองนั่งเรียน นั่งทำงานอย่างมีสมาธิได้ก็เพราะเชื่อมั่นในการลงทุนระยะยาวแบบไม่ต้องเฝ้าตลาด ตอนเวลาว่างก็มานั่งดูตลาดบ้าง (ชอบดูการกระทำของคนบนกระดานเฉยๆไม่ได้ไปร่วมวงใดๆ)  แต่ถ้าคนภายนอกดูจะไม่รู้เลยว่าผมลงทุนพอร์ตหุ้นทั้งหมด 70% ซึ่งคนทั่วไปมองว่าเสี่ยงมาก แล้วเรียนและทำงานแบบมีสมาธิ โดยลืมไปเลยว่ามีตลาดหุ้นได้อย่างไร

บางทีการไม่ได้เฝ้าตลาดแล้วเอาเวลาไปทำสิ่งที่ดีๆกับชีวิตอย่างอื่นอาจจะทำใหได้ผลตอบแทนมากกว่าด้วยซ้ำ ถ้าได้ผลตอบแทนน้อยอยู่อีก ก็ต้องมาพิจารณาหลักการลงทุน และการลงมือปฏิบัติแล้วว่ายังมีส่วนใหนที่ต้องปรับปรุงอยู่บ้าง

มากกว่าจะมาโทษว่าไม่มีเวลาเฝ้าตลาดครับ

7. เราต้องซื้อได้ที่จุดต่ำสุด ขายได้จุดแพงที่สุด

เป็นไปไม่ได้ครับ นอกจากโชคดีมากๆเท่านั้น และคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อได้ที่ต่ำสุดขายได้ที่สูงสุด การที่ไม่ขาดทุนและได้กำไรก็เพียงพอแล้วครับ

8. เราซื้อแล้วหุ้นต้องขึ้น

หุ้นเกือบทั้งหมดที่ผมซื้อราคาจะไหลลงพักนึงก่อนแล้วค่อยวิ่งขึ้น การที่ราคาไหลลงในระยะสั้นๆไม่ได้เป็นตัวบอกทิศทางการเคลื่อน
ไหวของราคาหุ้นในระยะยาว เพราะการเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้นเกิดจากอารมณ์ตลาด แต่การเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาวจะตามผลกำไรของบริษัท

คนที่ซื้อแล้วหุ้นลงแล้วขายทิ้ง พอขายแล้วดันวิ่งขึ้น แล้วมาบ่นว่าตัวเองโชคร้ายแสดงว่ายังศึกษาหุ้นตัวนั้นมาดีไม่พอ

9.เรามีงานประจำทำให้ไม่มีเวลาดูข้อมูล

ทุกคนไม่ได้ทำงาน 24 ชม. ทุกวัน คนที่ชอบเรื่องการลงทุนก็จะเอาเวลาว่างมานั่งศึกษาเรื่องการลงทุน ทุกคนมีเวลา 24 ชม. เท่ากันขึ้นอยู่ว่าใครจะใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ากันมากกว่าครับ

อย่างน้อยอาชีพผมที่ผมทำอยู่ก็มีเวลาว่างน้อยกว่าอาชีพส่วนใหญ่แน่นอน ผมรับรองได้

10. ถ้าเรารู้อนาคตคงจะไม่เป็นแบบนี้

ไม่มีใครรู้อนาคตครับ (มีแต่พวก “รู้งี้”)...แค่พอคาดการณ์จากข้อมูลในปัจจุบันเท่านั้นเอง

ขอให้เริ่มต้นใหม่บอกกับตัวเองว่าเราจะประสบความสำเร็จให้ได้  ให้ใช้ความคิดที่มีไปกับการลงมือทำและแก้ปัญหา  เลิกโทษปัจจัยภายนอก เลิกโทษคนอื่น เอาความคิดเหล่านั้นหันกลับมาพัฒนาตัวเอง ตั้งคำถามใหม่ว่า “เราต้องทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ”

แล้วลงมือทำมันซะ!!!

ขอให้ทุกๆคนประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ^^


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น